ความประพฤติ การปฏิบัติของท่านพระเทวทัต


    ขอกล่าวถึงเรื่องของพระเทวทัตในพระไตรปิฎก เพื่อท่านผู้ฟังจะได้เป็นผู้ที่ไม่ประมาท มีข้อธรรมหลายข้อในเรื่องของท่านพระเทวทัตที่ท่านควรจะพิจารณาไตร่ตรอง เพื่อการเจริญสติปัฏฐานของท่านจะได้ไม่คลาดเคลื่อนไม่ผิดไป

    เรื่องของท่านพระเทวทัต เป็นเรื่องของผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยเจ้า เพราะฉะนั้น ก็มีทั้งโลภะ โทสะ โมหะ มีความต้องการในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ท่านพระเทวทัตเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยชาติ ด้วยตระกูล ด้วยยศ ด้วยทรัพย์ แต่ยังไม่พอสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่มีทรัพย์ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ แต่ยังไม่หมดกิเลส ยังไม่ได้ขัดเกลา ละอกุศลให้เบาบาง ก็เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ว่า กิเลสนั้นอาจจะมีกำลังกล้า ทำให้ท่านสามารถปฏิบัติธรรมคลาดเคลื่อนผิดไปในทางอกุศลกรรมหนักๆ ได้

    ถ้าท่านจะสังเกตดู ถ้าท่านเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรมจริงๆ การปฏิบัติธรรมของท่านนั้นเพื่ออะไร เพื่อลาภ เพื่อบริษัทบริวาร หรือเพื่อเข้าใจสภาพธรรมให้ถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้าท่านพิจารณาสภาพจิตของท่านเองให้ละเอียด ท่านย่อมได้รับประโยชน์ที่จะขัดเกลาอกุศลยิ่งขึ้น แต่ถ้าท่านไม่พิจารณาโดยละเอียด ท่านก็ต้องเป็นไปตามกำลังของอกุศลนั้นๆ

    การที่ให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาความประพฤติ การปฏิบัติของท่านพระเทวทัต ก็เพื่อที่จะให้ท่านได้ระลึกถึงสภาพธรรม ไม่ว่าจะเป็นในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน หรือหลังการปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค จนถึงกาลสมัยนี้ ความคิด ความเห็น ความเชื่อของแต่ละบุคคลนั้น ก็ต่างกันไปตามการสะสมของเหตุปัจจัย ผู้ที่มีการสะสมที่จะน้อมไป คล้อยไปในทางการเห็นผิด แม้ในครั้งพุทธกาลก็เห็นผิด กล่าวผิดด้วย

    ใน พระวินัยปิฎก จุลวรรค เรื่องพระเทวทัตทูลขอปกครองสงฆ์ ท่านเป็นพระภิกษุ มีพระผู้มีพระภาคเป็นศาสดา แต่เพราะความต้องการในลาภ ยศ สรรเสริญ ท่านก็ทูลขอพระผู้มีพระภาคในการปกครองสงฆ์

    พระวินัยปิฎก จุลวรรค มีว่า

    ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค อันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว ประทับนั่งแสดงธรรมแก่บริษัท พร้อมทั้งพระราชา ครั้งนั้น พระเทวทัตลุกจากอาสนะ ห่มผ้าเฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลว่า

    พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคทรงพระชราแล้ว เป็นผู้เฒ่า แก่หง่อมแล้ว ล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว บัดนี้ ขอพระองค์จงทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่เถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองพระภิกษุสงฆ์

    ถ้าท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน เวลาที่มีการเคลื่อนไหว นั่ง นอน ยืน เดิน เหยียด คู้ สติระลึกได้ รู้ว่าเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม และละสิ่งที่เป็นอกุศล เวลาที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ก่อนที่จะไหวไปกระทำอกุศลกรรม สติระลึกได้ ก็รู้ในสภาพที่เป็นอกุศลธรรมนั้น จึงมีการวิรัติ มีการงดเว้น แต่ผู้ที่ไม่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ กระทำไปโดยตลอด ตั้งแต่นั่งกระโหย่งเท้า ถวายบังคม แล้วก็กราบทูลขอเพื่อการปกครองสงฆ์

    พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า

    อย่าเลย เทวทัต เธออย่าพอใจที่จะปกครองภิกษุสงฆ์เลย

    แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ พระเทวทัตก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    พระพุทธเจ้าข้า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคทรงพระชราแล้ว เป็นผู้เฒ่าแก่หง่อมแล้ว ล่วงกาลผ่านวัยไปแล้ว บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงขวนขวายน้อย ประกอบทิฏฐธรรมสุขวิหารอยู่เถิด ขอจงมอบภิกษุสงฆ์แก่ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครองภิกษุสงฆ์

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร เทวทัต แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะ เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้เช่นซากศพ ผู้บริโภคปัจจัยเช่นก้อนเขฬะเล่า

    ทีนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงรุกรานเรากลางบริษัท พร้อมด้วยพระราชา ด้วยวาทะว่า บริโภคปัจจัยดุจก้อนเขฬะ ทรงยกย่องแต่พระสารีบุตรและ พระโมคคัลลานะ ดังนี้ จึงโกรธ น้อยใจ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ แล้วกลับไป

    นี่แหละ พระเทวทัตได้ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งแรก

    ท่านผู้ฟังได้ฟังเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น รู้สึกอย่างไรบ้าง มีข้อคิดอะไรบ้างไหมที่ได้ฟังอย่างนี้ สงสัยไหมว่าทำไมพระผู้มีพระภาคจึงตรัสด้วยพระดำรัสที่ว่า แม้แต่สารีบุตรและโมคคัลลานะ เรายังไม่มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะพึงมอบให้เธอผู้เช่นซากศพ ผู้บริโภคปัจจัยเช่นก้อนเขฬะเล่า

    บางท่านคิดว่า ไม่ควรที่จะตรัสอย่างนี้ เพราะเหตุว่าทำให้ท่านพระเทวทัตเกิดความอายและผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาค เพราะพระองค์ตรัสในท่ามกลางบริษัทที่กำลังฟังธรรม แต่พระองค์ทรงกระทำทุกอย่างที่ไม่ผิด

    ท่านผู้ฟังให้ความเห็นว่า แม้แต่พระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะซึ่งเป็นพระอัครสาวก พระผู้มีพระภาคก็ยังมิได้ทรงมอบการปกครองพระภิกษุสงฆ์ให้ เพราะเหตุว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้นั้น เลิศด้วยเหตุผลสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้ที่ปกครองสงฆ์ พระธรรมที่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลนั้น ย่อมปกครองได้แทนพระองค์ เป็นศาสดาแทนพระองค์

    แต่อย่าลืมว่า คนที่จะเห็นผิด คนที่จะคิดผิด ถึงจะตรัสอย่างนี้ หรือไม่ตรัสอย่างนี้ ผู้นั้นก็เห็นผิด และกระทำผิดได้ ตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา ถึงแม้พระผู้มีพระภาคจะไม่ตรัสอย่างนี้ อำนาจกิเลส อำนาจความปรารถนาในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ สุขนั้น ท่านพระเทวทัตหรือจะยอมที่จะไม่คิดที่จะปกครองสงฆ์ เพราะเหตุว่าเป็นการสะสมมาในจิตของท่านแล้ว ที่เป็นผู้ที่ต้องการในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ สุข

    เพราะฉะนั้น การที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะสะสมเหตุปัจจัย ความคิด ความโน้มเอียง ความเชื่อในเรื่องความคิดเห็น ในข้อปฏิบัติ ในความเข้าใจธรรมด้วยตนเองต่างๆ นานา ก็เป็นเรื่องที่ผู้นั้นได้สะสมเหตุปัจจัยมาแล้ว แม้ผู้อื่นจะกล่าวอย่างไร จะชี้แจงอย่างไร จะมีเหตุผลอย่างไร ก็แล้วแต่ว่าผู้นั้นจะสะสมเหตุปัจจัยที่จะรับฟัง ที่จะพิจารณา หรือถึงแม้ว่า พระผู้มีพระภาค พระศาสดาจะได้ทรงโอวาทด้วยถ้อยคำที่ควรจะระลึกได้แล้วว่า ท่านพระเทวทัตไม่ควรเลยที่จะปกครองพระภิกษุสงฆ์ เพราะแม้ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคัลลานะซึ่งเป็นพระอัครสาวก พระผู้มีพระภาคก็ยังมิได้ทรงมอบสงฆ์ให้ปกครอง เพราะฉะนั้น ท่านพระเทวทัตได้ฟังอย่างนี้ก็ควรจะล้มเลิกความคิดที่จะปกครองภิกษุสงฆ์เสีย แต่ท่านพระเทวทัตก็หาได้คิดอย่างนั้นไม่ แม้ว่าผู้ที่ตรัสจะเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แสดงให้เห็นถึงกำลังของปัจจัยที่ได้สะสมมา ที่จะทำให้คิดอย่างนั้น ประพฤติอย่างนั้น เป็นไปอย่างนั้น ซึ่งท่านผู้ฟังไม่ควรประมาทกิเลสที่มีอยู่ในจิตใจ ที่ยังไม่ได้ขัดเกลาให้เบาบาง ถ้าท่านไม่เป็นผู้ที่ขัดเกลาด้วยการเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะไม่ทราบเลยว่า กิเลสนั้นมีมาก และมีกำลังมากมายสักแค่ไหน

    สำหรับท่านพระเทวทัต ท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยข้อความที่ว่า นี่แหละ พระเทวทัตได้ผูกความอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งแรก ซึ่งก่อนนั้นท่านก็ได้เคยไปแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่เจ้าชายอชาตศัตรู ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้า พิมพิสาร ด้วยความต้องการในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ แต่ในครั้งนั้น เพียงแต่ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ เมื่อท่านเป็นผู้ที่สามารถกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ ก็เกิดความต้องการที่จะให้บุคคลอื่นสรรเสริญในความสามารถของท่าน เพราะเหตุว่า แม้ท่านพระเทวทัตจะบรรพชาอุปสมบทพร้อมกับท่านพระอานนท์ ท่านพระอนุรุทธะ และพวกเจ้าชายศากยะ แต่ท่านพระอานนท์ท่านก็ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน ท่านพระอนุรุทธะท่านก็เป็นผู้ที่ได้บรรลุจักษุทิพย์ และเป็นพระอริยสาวก ส่วนท่าน พระเทวทัตนั้น เป็นผู้ที่สามารถทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ แต่ไม่ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า

    ข้อความต่อไปในพระไตรปิฏกมีว่า

    ปกาสนียกรรม

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงลงปกาสนียกรรมในกรุงราชคฤห์แก่เทวทัตว่า ปกติของพระเทวทัต ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่า พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงทำอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้

    ข้อความต่อไปก็เป็นกรรมวาจา ทำปกาสนิยกรรมตามพระวินัย คือ ภิกษุรูปใดจะเป็นผู้สมควรแก่การที่จะประกาศความประพฤติของท่านพระเทวทัต ซึ่งแต่ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง แล้วบัดนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกับท่านพระสารีบุตรว่า

    ดูกร สารีบุตร ถ้ากระนั้นเธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์

    ท่านพระสารีบุตรทูลถามว่า

    เมื่อก่อนข้าพระพุทธเจ้ากล่าวชมพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า โพธิบุตรมีฤทธิ์มาก โพธิบุตรมีอานุภาพมาก ข้าพระพุทธเจ้าจะประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์อย่างไรพระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร เธอกล่าวชมเทวทัตในกรุงราชคฤห์แล้วเท่าที่เป็นจริงว่า โพธิบุตรมีฤทธิ์มาก โพธิบุตรมีอานุภาพมาก

    ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า

    อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร เธอจงประกาศเทวทัตในกรุงราชคฤห์เท่าที่เป็นจริง เหมือน อย่างนั้นแล

    ท่านพระสารีบุตรทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ซึ่งเมื่อท่านพระสารีบุตรอันสงฆ์สมมติแล้ว เพื่อประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ ท่านก็ได้เข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุมากรูป แล้วได้ประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์ว่า ปกติของพระเทวทัต ก่อนเป็นอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง พระเทวทัตทำอย่างใดด้วยกาย วาจา ไม่พึงเห็นว่า พระพุทธ พระธรรม หรือพระสงฆ์ เป็นอย่างนั้น พึงเห็นเฉพาะตัวพระเทวทัตเอง [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 254]

    สำหรับบุคคลในครั้งโน้น ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับรู้เหตุการณ์ในครั้งนั้น จะมีความคิดเห็นอย่างไร ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า

    ประชาชนในกรุงราชคฤห์ พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่เสื่อมใส ไร้ปัญญา ต่างกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นคนริษยา ย่อมเกียดกัน สักการะของพระเทวทัต

    กลับกันเสียแล้ว

    แทนที่จะเห็นว่า ท่านพระเทวทัตเป็นผู้ริษยา เป็นผู้ที่หนักในลาภสักการะ จึงทูลขอปกครองสงฆ์แด่พระผู้มีพระภาค แต่ประชาชนผู้ไม่มีความเลื่อมใส ไม่มีศรัทธา เป็นผู้ไร้ปัญญา กลับกล่าวว่า พระสงฆ์สาวกที่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็นคนริษยา ย่อมเกียดกันลาภสักการะของพระเทวทัต ก็เป็นเรื่องธรรมดาของบุคคลต่างๆ ที่จะมีความคิดเห็นต่างๆ กันตามการสะสมของเหตุปัจจัย ควรที่จะเข้าใจถูกตามสถานการณ์ สภาพของเหตุการณ์นั้น แต่เพราะสะสมที่จะเข้าใจผิด เห็นผิด และก็กล่าววาจาผิด

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ส่วนประชาชนพวกที่มีศรัทธา เลื่อมใส เป็นบัณฑิต มีปัญญาดี กล่าวอย่างนี้ ว่า เรื่องนี้คงจักไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประกาศพระเทวทัตในกรุงราชคฤห์

    ข้อความต่อไป มีว่า

    พระเทวทัต ได้สั่งให้ราชบุรุษไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค

    ไม่ควรเลยที่เป็นภิกษุ ถึงกับจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค แต่ความเห็นผิด และการสะสมมาของกิเลสอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดจิตที่คิดจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ท่านพระเทวทัตถึงกับไปเฝ้าเจ้าชายอชาตศัตรู ทูลขอให้เจ้าชายอชาตศัตรูสั่งให้ราชบุรุษไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ซึ่งเจ้าชายอชาตศัตรูได้มอบเรื่องนี้ทั้งหมดให้ท่านพระเทวทัต คือ สั่งราชบุรุษว่า แล้วแต่ท่านพระเทวทัตจะสั่งอย่างไร ก็ให้ทำอย่างนั้น

    ซึ่งท่านพระเทวทัตก็ได้คิดแผนการณ์ที่จะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคอย่างแยบคาย โดยการที่ให้ราชบุรุษผู้หนึ่งไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค โดยท่านบอกว่า ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคประทับที่นั่น ให้ราชบุรุษผู้หนึ่ง คือผู้นั้น ไปปลงพระชนม์ พระผู้มีพระภาคแล้ว จงกลับทางนั้น ซึ่งเมื่อราชบุรุษผู้นั้นได้ไปถึงที่ๆ พระผู้มีพระภาคประทับ ก็เกิดการกลัว หวาดหวั่น สะทกสะท้าน และพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงธรรม ราชบุรุษนั้นได้ดวงตาเห็นธรรม และก็ถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ตรัสให้ราชบุรุษนั้นกลับไปเสียอีกทางหนึ่ง ไม่ใช่ทางที่ท่านพระเทวทัตบอกให้กลับ

    ท่านพระเทวทัตเมื่อส่งราชบุรุษคนที่ ๑ ให้ไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ก็ได้ให้ราชบุรุษอีก ๒ คน คอยอยู่ที่ริมทาง ซึ่งเมื่อราชบุรุษคนที่ ๑ ปลงพระชนม์แล้ว กลับมาทางนั้น ก็ให้ราชบุรุษ ๒ คนนี้ฆ่าราชบุรุษคนนั้นเสีย และก็ได้สั่งให้ราชบุรุษอีก ๔ คน คอยอยู่ริมทาง คอยฆ่าราชบุรุษ ๒ คนที่กลับมาทางนั้น และก็ให้ราชบุรุษอีก ๘ คน คอยอยู่ริมทาง คอยฆ่าราชบุรุษ ๔ คนที่กลับมาทางนั้น และก็ให้ราชบุรุษอีก ๑๖ คน คอยอยู่ริมทาง และก็ฆ่าราชบุรุษ ๘ คนนั้น

    แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรมแก่ราชบุรุษคนนั้นแล้ว ราชบุรุษคนนั้นก็ได้กลับไปเสียอีกทางหนึ่ง ราชบุรุษ ๒ คนที่คอยอยู่ เห็นช้าไม่มาสักที ก็เดินสวนทาง ไปพบพระผู้มีพระภาค ได้ฟังธรรม ถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ พระผู้มีพระภาคก็ส่งราชบุรุษ ๒ คนนั้น ไปเสียทางอื่น

    เพราะฉะนั้น ราชบุรุษอีก ๔ คนที่คอยอยู่ เห็นช้านัก ก็เดินสวนทางไปอีก ได้ฟังธรรมอีก แล้วก็ถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะอีก แล้วก็กลับไปเสียทางอื่นอีก

    ราชบุรุษ ๘ คน เห็นช้านัก ก็เดินสวนทางไป ได้ฟังธรรม ได้ถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ แล้วก็กลับเสียอีกทางหนึ่ง

    และราชบุรุษ ๑๖ คน เห็นช้านัก ก็ได้เดินสวนทางไป ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้ฟังธรรม ได้ถึงพระผู้มีพระภาค พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ทั้ง ๑๖ คน

    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคก็ไม่ถูกผู้หนึ่งผู้ใดปลงพระชนม์ แต่ว่าตามความเป็นจริง ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดที่สามารถจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคได้เลย นี่เป็นด้วยพระบารมีที่ได้สะสมมาในอดีตที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมื่อท่านพระเทวทัตไม่เห็นราชบุรุษปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ยังไม่ยุติการที่จะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค เมื่อพวกราชบุรุษไม่สามารถจะปลงพระชนม์ได้ ท่านพระเทวทัตก็คิดที่จะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคด้วยตนเอง โดยการที่ท่านทำโลหิตุปบาท ขึ้นสู่เขาคิชกูฏ แล้วก็กลิ้งศิลาก้อนใหญ่ลงมาเพื่อจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค

    ข้อความนี้ ท่านผู้ฟังคงจะได้รับฟังอยู่ก่อนแล้ว ขอผ่านไป

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ท่านพระเทวทัตก็ได้ปล่อยช้างนาฬาคีรี ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิต ลำดับนั้น ช้างนาฬาคีรีได้สัมผัสพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคแล้วลดงวงลง แล้วเข้าไปทางพระผู้มีพระภาค แล้วได้ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถลูบกระพองช้างนาฬาคีรี และตรัสกับช้างนาฬาคีรีแล้ว

    ลำดับนั้น ช้างนาฬาคีรีเอางวงลูบละอองธุลีพระบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วพ่นลงบนกระม่อม ย่อตัว ถอยออกไปชั่วระยะที่แลเห็นพระผู้มีพระภาค ไปสู่โรงช้าง แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ของตน

    ก็แลช้างนาฬาคีรี เป็นสัตว์ อันพระพุทธนาคทรงทรมานแล้ว ด้วยประการนี้

    สมัยนั้น คนทั้งหลายขับร้องคาถาว่าดังนี้

    คนพวกหนึ่ง ย่อมฝึกช้างและม้าด้วยใช้ท่อนไม้บ้าง ใช้ขอบ้าง ใช้แส้บ้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าผู้แสวงพระคุณใหญ่ ทรงทรมานช้าง โดยมิต้องใช้ท่อนไม้ มิต้องใช้ศาสตรา

    นี่เป็นคาถาที่คนในครั้งนั้นขับร้องกัน หลังจากที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงทำให้ช้างนาฬาคีรีกลับไปสู่โรงช้างแล้ว สำหรับพระธรรมนั้น ก็ย่อมฝึกคนจนได้บรรลุ อริยสัจธรรม โดยไม่ต้องใช้ท่อนไม้ ไม่ต้องใช้ขอ ไม่ต้องใช้แซ่

    ข้อความต่อไป มีว่า

    คนทั้งหลายต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทนาว่า พระเทวทัตนี้เป็นคนมีบาป ไม่มีบุญ เพราะพยายามปลงพระชนม์พระสมณะโคดมผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ลาภสักการะของพระเทวทัตเสี่อม ส่วนลาภสักการะของพระผู้มีพระภาคเจริญยิ่งขึ้น

    ต่อจากนั้น เมื่อพระเทวทัตต้องการความเป็นใหญ่ จึงจัดทำสังฆเภท คิดที่จะแยกสงฆ์ไปปกครอง ท่านทูลขอวัตถุ ๕ ประการแก่พระผู้มีพระภาค

    ซึ่งการทูลขอวัตถุ ๕ ประการของท่านพระเทวทัต ขอให้ท่านผู้ฟังพิจารณาการกล่าวอ้างเหตุผลว่า ท่านเห็นด้วย หรือว่าท่านเคยอ้างอย่างท่านพระเทวทัตอ้างหรือไม่

    ข้อความในพระวินัยปิฎกมีว่า

    ครั้งนั้น ท่านพระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

    พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภความเพียร โดยเอนกปริยาย

    พระพุทธเจ้าข้า วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภความเพียร โดยเอนกปริยาย

    ข้าพระพุทธเจ้า ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ

    ภิกษุทั้งหลายพึงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีกิจนิมนต์ รูปนั้นพึงต้องโทษ

    ภิกษุทั้งหลายพึงถือทรงผ้าบังสกุลเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดยินดีคฤหบดีจีวร รูปนั้นพึงต้องโทษ

    ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่โคนไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดเข้าอาศัยที่มุงที่บัง รูปนั้นพึงต้องโทษ

    ภิกษุทั้งหลายไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ

    พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า

    อย่าเลย เทวทัต ภิกษุรูปใดปรารถนา ภิกษุนั้นจงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใด ปรารถนา จงอยู่ในบ้าน (ในเขตบ้าน) รูปใดปรารถนา จงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนา จงถือทรงผ้าบังสกุลเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีคฤหบดีจีวร เราอนุญาตโคนไม้เป็นเสนาสนะ ๘ เดือน เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ

    ท่านผู้ฟังเคยอ้างอย่างท่านพระเทวทัตไหม อ้างพระพุทธดำรัสโดยตรงที่ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารถความเพียร โดยเอนกปริยาย วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภความเพียร โดยเอนกปริยาย คือ พึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต

    นี่คือความเห็นของท่านพระเทวทัตที่ว่า เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสให้เป็นผู้ที่ขัดเกลา ให้เป็นผู้ที่มักน้อย สันโดษ มีอาการที่น่าเลื่อมใส และปรารภความเพียร เพราะฉะนั้น ก็ควรจะอยู่ป่าตลอดชีวิต

    แต่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตตามที่ท่านพระเทวทัตทูลขอที่อ้างว่าเป็นข้อปฏิบัติที่ขัดเกลา มักน้อย และปรารภความเพียร เพราะทรงทราบอัธยาศัยของสัตว์โลกตามความเป็นจริง

    การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่ไปรู้ธรรมที่เกิดกับบุคคลอื่น แต่ต้องเป็นสภาพธรรมที่เกิดกับตนที่สะสมมาตามเหตุตามปัจจัยแล้วเกิดขึ้น ที่สติจะต้องระลึก ปัญญาจะต้องรู้ชัด จนละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนด้วยการเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ มีปกติรู้สภาพความเป็นจริงของธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงรับสั่งว่า อย่าเลย เทวทัต ภิกษุรูปใดปรารถนา ภิกษุนั้นจงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงอยู่ในบ้าน คือ ในเขตบ้าน แล้วแต่อัธยาศัย ขอให้เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานตามความเป็นจริง สามารถที่จะเป็นผู้รู้แจ้งอริยสัจได้โดยไม่ต้องไปอยู่ป่า ถ้าขณะนี้ อยู่ที่นี่ สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จนกระทั่งประจักษ์สภาพความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ ได้

    สำหรับข้อที่ ๒ ภิกษุรูปใดปรารถนา จงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนา จงยินดีกิจนิมนต์ ตามอัธยาศัยอีกเหมือนกัน

    มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งที่ท่านถามว่า ในพระไตรปิฎกมีข้อความเรื่องที่ภิกษุบางรูป ท่านเห็นคนฝึกหัดการยิงศรบ้าง ดัดศรบ้าง เหล่านี้ ก็ทำให้ท่านคิดที่จะฝึกตน ดัดตน แล้วท่านก็กลับไปสู่ที่อยู่ของท่าน ประพฤติปฏิบัติธรรม ทำให้ดูเสมือนว่า การที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมนั้น ต้องกลับไปอยู่ ไปสู่ที่อยู่ของตน จึงจะประพฤติได้ แต่ถ้าศึกษาในพระไตรปิฎกโดยทั่วจริงๆ ท่านที่ไปบิณฑบาต ท่านเห็นอะไรต่ออะไรที่จะเป็นเครื่องเตือนให้สติระลึกในการที่จะขัดเกลา ด้วยการปรารถความเพียรระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้น ท่านที่ไม่กลับไปสู่ที่อยู่ก็มี ท่านก็ระลึกรู้นามธรรมและรูปธรรมในขณะนั้น รู้แจ้งอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์ในขณะนั้นได้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าจะไปเอาตัวอย่างบุคคลหนึ่งบุคคลใด โดยที่ความเป็นจริงของท่านทุกๆ ขณะนี้ เกิดขึ้นแล้วเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น

    ใครคิดว่าจะมาฟังธรรมที่วัด แต่เกิดกลับใจไม่มาฟัง ขณะนั้นสติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมนานาชนิด นานาประการที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เกิดขึ้นในขณะนั้น เพราะเหตุปัจจัยในขณะนั้น เป็นสติปัฏฐานทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่ว่า การเจริญอบรมจะต้องเป็นแบบเดียวกัน คือ มาฟังเสียก่อน และกลับไปเจริญสมณธรรมที่บ้าน อย่างนั้นไม่ใช่ แต่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน จะกลับหรือไม่กลับ จะไปทางซ้าย จะไปทางขวา จะไปที่ไหน จะไปหาใครต่อไป ก็เป็นเรื่องที่แล้วแต่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม เพราะเหตุว่าไม่มีนามธรรมและรูปธรรมใดที่เกิดได้โดยไม่มีเหตุปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นนามธรรมชนิดใดก็ตาม เป็นผู้ที่ตามรู้สภาพธรรมที่เกิดแล้วปรากฏเพราะเหตุปัจจัยตามความเป็นจริง

    ไม่ใช่ว่า ไปศึกษาและข้องใจ ยึดถือว่าจะต้องทำตามอย่างนั้น บุคคลนั้นทำอย่างนั้น เราก็จะต้องทำอย่างนั้นด้วย นั่นเป็นบุคคลนั้น บุคคลนั้นทำอย่างนั้นเพราะปัจจัยของบุคคลนั้นสะสมมาที่จะทำอย่างนั้น บุคคลนี้ คือ ตัวท่านเอง กำลังทำอะไรอยู่ กำลังมีนามธรรมอะไร รูปธรรมอะไรที่กำลังเกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัยในขณะนี้ เป็นของจริง เป็นสัจจธรรม เป็นสิ่งที่สติจะต้องระลึกเพื่อรู้แล้วละ

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปตามอย่างใครในพระไตรปิฎก ถ้าท่านผู้ฟังมีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการเจริญสติปัฏฐานแล้ว ท่านอ่านข้อความนั้น ท่านก็ทราบว่า ภิกษุรูปที่ท่านกลับจากบิณฑบาต ท่านไม่บิณฑบาตต่อก็เพราะว่าท่านจะกลับ ก็เรื่องของท่าน สะสมปัจจัยมาที่จะกลับ ท่านก็กลับ และระหว่างนั้น สติของท่านจะระลึกรู้ลักษณะของนาม หรือว่าลักษณะของรูป หรือไม่ระลึก หรือว่าสมาธิจะเกิดก่อน หรือว่านิวรณ์จะเกิดมากอย่างไรก็เป็นเรื่องของท่าน ซึ่งไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดจะไปแสดงสภาพวาระจิตโดยละเอียด ตั้งแต่ได้ฟังธรรม หรือเห็นสิ่งที่สะกิดเตือนใจให้ระลึกถึงการปฏิบัติธรรม และความคิดใดจะเกิดขึ้น สติจะระลึกรู้ว่าเป็นสภาพนามธรรมที่คิด หรือว่าท่านจะไม่ระลึก ก็เป็นเรื่องของท่าน

    แต่ถ้าท่านมีความเข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานถูกต้อง จะเห็นว่า ไม่ว่าชีวิตต่างๆ ในพระไตรปิฎกจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรมในลักษณะใดก็ตาม ย่อมเป็นไปตามปัจจัยของแต่ละท่านที่ได้สะสมมาอย่างนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ท่านผู้ฟังจะไปคิดว่า ท่านจะต้องฝืนทำอย่างบุคคลนั้น โดยที่ไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง

    ข้อความต่อไป เพื่อจะได้ทราบถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า มีอะไรเกิดขึ้นกับ พระผู้มีพระภาคและท่านพระเทวทัต ซึ่งเมื่อท่านพระเทวทัตได้ฟังพระผู้มีพระภาครับสั่งว่า อย่าเลย เทวทัต แทนที่ท่านพระเทวทัตจะเห็นว่าถูกตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่ควรจะเป็นไปอย่างที่ท่านกราบทูลขอพระผู้มีพระภาคเลย ท่านพระเทวทัตไม่เห็นอย่างนั้น

    ข้อความต่อไปในพระไตรปิฎกมีว่า

    ครั้งนั้น พระเทวทัตคิดว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตวัตถุ ๕ ประการนี้ จึงร่าเริงดีใจ พร้อมกับบริษัท ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำ ประทักษิณ แล้วกลับไป

    แทนที่จะเห็นตามว่าไม่ควร เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสว่า อย่าเลย ท่านกลับดีใจ เพราะท่านเห็นว่า ต่อไปนี้คนจะต้องเลื่อมใสท่าน ที่ท่านกราบทูลขอข้อประพฤติปฏิบัติที่น่าเลื่อมใส ที่เป็นไปเพื่อความมักน้อย เพื่อการปรารภความเพียร เพื่อความสันโดษ แต่พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาต

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นผิด ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็เข้าใจว่า สิ่งที่ท่านทูลขอนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่าความเห็นของพระผู้มีพระภาค

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ต่อมาพระเทวทัตพร้อมกับบริษัทเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์ แล้วประกาศให้ประชาชนเข้าใจวัตถุ ๕ ประการว่า ท่านทั้งหลาย พวกอาตมาเข้าไปเฝ้าพระสมณ โคดม ทูลขอวัตถุ ๕ ประการว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารภความเพียรโดยเอนกปริยาย พระพุทธเจ้าข้า วัตถุ ๕ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส ความไม่สั่งสม การปรารถความเพียร โดยเอนกปริยาย ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ภิกษุทั้งหลายพึงถือการอยู่ป่าเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยบ้านอยู่ รูปนั้นพึงต้องโทษ ฯลฯ ... ตลอดจนถึง ภิกษุไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉันปลาและเนื้อ รูปนั้นพึงต้องโทษ

    วัตถุ ๕ ประการนี้ พระสมณโคดมไม่ทรงอนุญาต แต่พวกอาตมาสมาทานประพฤติตามวัตถุ ๕ ประการนี้

    คิดว่าเป็นความถูกต้องที่ประกาศอย่างนั้น เพราะเหตุว่าไม่รู้ชัดในมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติที่กำจัดอภิชฌาโทมนัสเพราะสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตรงตามความเป็นจริง จึงจะละความไม่รู้และอภิชฌาโทมนัสได้

    ข้อความต่อไปมีว่า

    บรรดาประชาชนเหล่านั้น พวกที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส ทรามปัญญา กล่าวว่าอย่างนี้ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ (หมายถึงพวกพระเทวทัต) เป็นผู้กำจัด มีความประพฤติขัดเกลา ส่วนพระสมณะโคดม ประพฤติมักมาก ย่อมคิดเพื่อความมักมาก ฯลฯ ... จนถึงข้อที่ว่า ไม่พึงฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 255]

    ส่วนประชาชนอีกพวกหนึ่ง คือ

    ส่วนพวกที่มีศรัทธา เลื่อมใส เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา ย่อมเพ่งโทษ ติเตียน โพทนาว่า ไฉนพระเทวทัตจึงได้พยายามเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายจักรเล่า

    ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินพวกนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย (เป็นผู้ที่ไม่ปรารถนาลาภ สักการระ) ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทนาว่า ไฉนพระเทวทัตจึงได้พยายามเพื่อทำลายสงฆ์ เพื่อทำลายจักร แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค

    นี่เป็นเหตุการณ์ในครั้งโน้น จะเป็นได้บ้างไหมในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ตรงกับเรื่องของท่านพระเทวทัต แต่ในเรื่องความคิดความเห็นที่ไม่ตรงกับธรรมวินัย และเกิดความเลื่อมใสในธรรมที่ไม่ตรงตามธรรมวินัย พวกที่เห็นว่าการไม่ไปป่า เป็นผู้ที่มักมาก มีไหมที่เข้าใจว่าอย่างนั้น และก็ชื่นชมสรรเสริญเยินยอการปฏิบัติขัดเกลาของท่านพระเทวทัตว่า ขัดเกลายิ่งกว่าพระผู้มีพระภาค อย่างนี้จะชื่อว่าเป็นสาวกไหม

    เพราะฉะนั้น แม้เหตุการณ์จะต่างกัน แต่อาจจะมีความคล้ายคลึง มีความโน้มเอียงซึ่งท่านผู้ฟังจะพิจารณาใคร่ครวญตรวจสอบได้ว่า ท่านมีความโน้มเอียงไปในทางความเห็นผิดอย่างท่านพระเทวทัตบ้างหรือไม่ ซึ่งข้อความในพระวินัยปิฎก มีข้อความโดยละเอียด แต่ขอยกข้อความเพียงบางประการเท่านั้น

    เมื่อท่านพระเทวทัตทำลายสงฆ์แล้ว ก็ได้พาภิกษุวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี ประมาณ ๕๐๐ รูป ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ และเป็นผู้ที่รู้พระธรรมวินัยน้อย หลีกไปทางคยาสีสะประเทศ คือ แยกจากหมู่สงฆ์ของพระผู้มีพระภาค

    ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร สารีบุตร โมคคัลลานะ พวกเธอจักมีความการุญในภิกษุใหม่เหล่านั้น มิใช่หรือ พวกเธอจงรีบไป ภิกษุเหล่านั้นกำลังจะถึงความย่อยยับ

    ซึ่งพวกนั้นตามท่านพระเทวทัตไปด้วยความประพฤติที่คิดว่า ขัดเกลา มักน้อย สันโดษ คือ การอยู่ป่า และก็ตามที่ท่านพระเทวทัตได้กราบทูลขอพระผู้มีพระภาค แต่พระผู้มีพระภาคกลับตรัสกับท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า

    พวกเธอจงรีบไป ภิกษุเหล่านั้น กำลังจะถึงความย่อยยับ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ทูลรับสนองพระพุทธพจน์แล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ แล้วเดินทางไปยังคยาสีสะประเทศ

    สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง ยืนร้องไห้อยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค จึงพระผู้มีพระภาค ตรัสถามภิกษุนั้นว่า

    ดูกร ภิกษุ เธอร้องไห้ทำไม

    ภิกษุนั้นกราบทูลว่า

    พระพุทธเจ้าข้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกของพระผู้มีพระภาค ไปยังสำนักของพระเทวทัต คงจะชอบใจธรรมของพระเทวทัต

    มีผู้ที่เข้าใจผิดถึงอย่างนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ยังไม่เข้าใจชัดเจนในพระธรรมวินัย ยังไม่เข้าใจถึงการประพฤติปฏิบัติของผู้ที่ได้ซาบซึ้งในเหตุผล ในข้อประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง และก็ได้รับผลที่ถูกต้องจากการปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น เพียงกิริยาอาการภายนอก ผู้ที่ไม่เข้าใจก็คิดไปได้ต่างๆ นานา แม้แต่การที่ท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหา โมคคัลลานะไปตามท่านพระเทวทัต พระภิกษุรูปนั้นก็ร้องไห้เสียใจคิดว่า เป็นเพราะท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะคงจะชอบใจในธรรมของท่านพระ เทวทัต

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุ ข้อที่สารีบุตร โมคคัลลานะ จะพึงชอบใจธรรมของเทวทัต นั่นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส แต่เธอทั้งสองไปเพื่อซ้อมความเข้าใจกับภิกษุ

    ข้อความต่อไปมีว่า

    เมื่อพระเทวทัตกำลังแสดงธรรมกับบริษัทหมู่ใหญ่นั้น เห็นพระสารีบุตรและ พระมหาโมคคัลลานะมาแต่ไกลก็ดีใจ คิดว่า พระอัครสาวกทั้ง ๒ ชอบใจธรรมของตน

    คิดผิดได้สารพัดอย่าง เห็นท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะไป ก็ดีใจตามอัธยาศัยที่เคยสะสมมาเป็นผู้หนักในบริษัท ในลาภสักการะ เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะไป จิตก็น้อมไปด้วยความยินดีในบริษัทในหมู่คณะว่า ท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะคงจะมาเป็นบริษัทของตน

    ท่านพระเทวทัตถึงกับนิมนต์ท่านพระสารีบุตรด้วยอาสนะกึ่งหนึ่งว่า มาเถิด ท่านสารีบุตร นิมนต์นั่งบนอาสนะนี้

    ให้นั่งที่เดียวกัน คนละครึ่งทีเดียว ด้วยความดีใจจริงๆ ว่า จะได้มาช่วยตนบริหารภิกษุที่ได้พาแยกไปจากคณะสงฆ์นั้น

    ท่านพระสารีบุตรห้ามว่า อย่าเลยท่าน แล้วถืออาสนะแห่งหนึ่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะก็ถืออาสนะแห่งหนึ่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

    เมื่อท่านพระเทวทัตแสดงธรรมเมื่อยแล้ว ก็เชื้อเชิญท่านพระสารีบุตรว่า ท่านสารีบุตร ภิกษุสงฆ์ปราศจากถีนมิทธะแล้ว ธรรมีกถาของภิกษุทั้งหลายจงแจ่มแจ้งกับท่าน เราเมื่อยหลัง จักเอน

    เหมือนพระผู้มีพระภาคทุกประการ เวลาที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแล้ว ก็ได้ให้โอกาสแก่ท่านพระสารีบุตร พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างไร พระเทวทัตก็กล่าวอย่างนั้นเหมือนกัน

    ท่านพระสารีบุตรรับคำพระเทวทัตแล้ว ลำดับนั้น พระเทวทัตปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น แล้วจำวัดโดยข้างเบื้องขวา เธอเหน็ดเหนื่อย หมดสติสัมปชัญญะ ครู่เดียวเท่านั้น ก็หลับไป

    พระผู้มีพระภาคทรงพร้อมด้วยพระสติสัมปชัญญะ แต่ว่าท่านพระเทวทัตเหน็ดเหนื่อย หมดสติสัมปชัญญะ หลับไป

    ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรกล่าวสอน พร่ำสอนภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถา ซึ่งก็เป็นอนุสาสนีที่เจือด้วยอาเทศนาปาฏิหาริย์

    ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พร่ำสอนภิกษุทั้งหลายด้วยธรรมีกถา ซึ่งก็

    เป็นอนุสาสนีที่เจือด้วยอิทธิปาฏิหาริย์

    ดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้น ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ พา ภิกษุ ๕๐๐ รูป ไปทางพระเวฬุวัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค

    เป็นการเกื้อกูล ที่ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะเกื้อกูลต่อสหายธรรมด้วยการติดตามไป และแสดงธรรม ซึ่งภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้นก็ได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยบุคคล และท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหา โมคคัลลานะก็พาภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้นไปทางพระเวฬุวัน เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค

    ครั้งนั้น พระโกกาลิกะ ซึ่งเป็นสหายสนิทของท่านพระเทวทัต ปลุกพระเทวทัตให้ลุกขึ้น ด้วยคำว่า ท่านเทวทัตลุกขึ้นเถิด พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พาภิกษุเหล่านั้นไปแล้ว เราบอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า อย่าไว้วางใจพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เพราะเธอทั้ง ๒ มีความปรารถนาลามก ถืออำนาจความปรารถนาลามก ครั้งนั้น โลหิตร้อนได้พุ่งออกจากปากพระเทวทัตในที่นั้นเอง

    เวลาที่ท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะไปถึง ท่านพระโกกาลิกะยังเฉลียวใจว่า ท่านพระสารีบุตรกับท่านพระมหาโมคคัลลานะ อาจจะมาแสดงธรรมชี้แจงแด่พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น แต่ท่านพระเทวทัตด้วยความดีใจที่เห็นท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะไป ถึงกับคิดว่า จะเป็นบริษัทของตน ทำให้ลืมคิดถึงเรื่องอื่นทั้งหมด

    ความเห็นของผู้ที่ไม่ใช่บัณฑิตกับผู้ที่เป็นบัณฑิตนั้น ตรงกันข้ามกัน อย่างท่านพระโกกาลิกะเห็นว่า ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก ไม่ได้คิดถึงตัวเองเลยว่า ตัวท่านนั้นเป็นอย่างไร มีความต้องการอย่างไร มีความเห็นถูกผิดอย่างไร แต่กลับเห็นผู้ที่เป็นบัณฑิตอย่างท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า เป็นผู้ที่มีความปรารถนาลามก นี่เป็นความเห็นผิดอย่างยิ่ง

    สำหรับท่านที่ต้องการความละเอียดในเรื่องนี้ ในพระวินัยปิฎก จุลวรรคมีข้อความโดยละเอียดมาก

    ซึ่งเมื่อท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระสารีบุตรถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะไปสู่บริษัทของท่านพระเทวทัต ซึ่งท่าน พระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะ ก็ได้กราบทูลให้ทรงทราบโดยตลอด

    พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเรื่ององค์แห่งทูต เพราะพระองค์ให้ท่านพระสารีบุตรและท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้ที่ไปแสดงธรรม ชี้แจงแก่ภิกษุ ๕๐๐ ที่ติดตามท่านพระเทวทัตไป เพราะฉะนั้น ก็ได้ทรงแสดงลักษณะแห่งองค์ของทูต คือ บุคคลผู้เป็นทูตควรจะมีลักษณะอย่างไร

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ควรทำหน้าที่ทูต องค์ ๘ เป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. รับฟัง ๒. ให้ผู้อื่นฟัง ๓. กำหนด ๔. ทรงจำ ๕. เข้าใจความ ๖. ให้ผู้อื่นเข้าใจความ ๗. ฉลาดต่อประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ๘. ไม่ก่อความทะเลาะ

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล ควรทำหน้าที่ทูต

    ความจริงพุทธศาสนิกซึ่งมีความหวังดีต่อสหายธรรมทุกท่าน ก็เป็นผู้ที่กระทำกิจนี้ หน้าที่นี้อยู่ เพราะฉะนั้น ควรที่จะได้ทราบว่า ถ้าท่านต้องการให้ผู้อื่นมีความเข้าใจถูกในพระธรรม ท่านควรจะประกอบด้วยคุณธรรมอย่างไรบ้าง

    ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงสรรเสริญท่านพระสารีบุตร มีข้อความว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ ควรทำหน้าที่ทูต องค์ ๘ เป็นไฉน คือ ๑. สารีบุตรเป็นผู้รับฟัง ๒. ให้ผู้อื่นฟัง ๓. กำหนด ๔. ทรงจำ ๕. เข้าใจความ ๖. ให้ผู้อื่นเข้าใจความ ๗. ฉลาดต่อประโยชน์ และมิใช่ประโยชน์ ๘. ไม่ก่อความทะเลาะ

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล ควรทำหน้าที่ทูต

    พระผู้มีพระภาคตรัสประพันธ์คาถาว่าดังนี้

    ภิกษุใดเข้าไปสู่บริษัทที่พูดคำหยาบ ก็ไม่สะทกสะท้าน ไม่ยังคำพูดให้เสีย ไม่ปกปิดข่าวสาร พูดจนหมดความสงสัย แล้วถูกถาม ก็ไม่โกรธ ภิกษุผู้เช่นนั้นแล ย่อมควรทำหน้าที่ทูต

    ข้อความต่อไป

    พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ท่านพระเทวทัตว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๘ ประการ ครอบงำ ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบาย ตกนรกชั่วกัป ช่วยเหลือไม่ไหว

    อสัทธรรม ๘ ประการเป็นไฉน คือ

    ประการที่ ๑. เทวทัตมีจิตอันลาภครอบงำ ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบาย ตกนรกตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ไหว

    ประการที่ ๒. เทวทัตมีจิตอันความเสื่อมลาภครอบงำ ย่ำยีแล้ว

    ประการที่ ๓. เทวทัตมีจิตอันยศครอบงำ ย่ำยีแล้ว

    ประการที่ ๔. เทวทัตมีจิตอันความเสื่อมยศครอบงำ ย่ำยีแล้ว

    ประการที่ ๕. เทวทัตมีจิตอันสักการระครอบงำ ย่ำยีแล้ว

    ประการที่ ๖. เทวทัตมีจิตอันความเสื่อมสักการะครอบงำ ย่ำยีแล้ว

    ประการที่ ๗. เทวทัตมีจิตอันความปรารถนาลามกครอบงำ ย่ำยีแล้ว

    ประการที่ ๘. เทวทัตมีจิตอันความเป็นมิตรชั่วครอบงำ ย่ำยีแล้ว จักเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ไหว

    ความมีมิตรชั่วสำคัญ เพราะว่าเมื่อมิตรมีความเห็นอย่างไร ท่านก็มีความเห็นคล้อยตามมิตรชั่วนั้น

    ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรม พร่ำสอนภิกษุทั้งหลายว่า ไม่ควรที่จะให้ลาภ หรือความเสื่อมลาภ ยศ หรือความเสื่อมยศ สักการะ หรือความเสื่อมสักการะ ความปรารถนาลามก และความเป็นผู้มีมิตรลามกครอบงำ ย่ำยี เพราะจะทำให้เป็นผู้ที่มีจิตอันอสัทธรรมครอบงำ และจักเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ได้

    ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๓ ประการ ครอบงำ ย่ำยี จักเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ไหว อสัทธรรม ๓ ประการ เป็นไฉน คือ ๑. ความปรารถนาลามก ๒. ความมีมิตรชั่ว ๓. พอบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำ ก็เลิกเสียในระหว่าง

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เทวทัต มีจิตอันอสัทธรรม ๓ ประการนี้แล ครอบงำ ย่ำยี จักเกิดในอบาย ตกนรก ตั้งอยู่ตลอดกัป เยียวยาไม่ไหว

    นิคมคาถา มีข้อความว่า

    ใครๆ จงอย่าเกิดเป็นคนปรารถนาลากมกในโลก ท่านทั้งหลายจงรู้จักเทวทัตนั้น ตามเหตุแม้นี้ว่า

    มีคติ เหมือนคติของคนปรารถนาลามก เทวทัตปรากฏว่าเป็นบัณฑิต รู้กันว่าเป็นผู้อบรมตนแล้ว เราก็ได้ทราบว่าเทวทัตตั้งอยู่ ดุจผู้รุ่งเรืองด้วยยศ เธอสั่งสมความประมาท เบียดเบียนตถาคตนั้น จึงตกนรกอเวจี มีประตูถึง ๔ ประตูอันน่ากลัว ก็ผู้ใดประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้ไม่ทำบาปกรรม บาปย่อมถูกต้องเฉพาะผู้นั้น ผู้มีจิตประทุษร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ

    ผู้ใดตั้งใจประทุษร้ายมหาสมุทรด้วยยาพิษเป็นหม้อๆ ผู้นั้นไม่ควรปทุษร้ายด้วยยาพิษนั้น เพราะมหาสมุทรเป็นสิ่งที่น่ากลัว ฉันใด ผู้ใดเบียดเบียนตถาคต ผู้เสด็จไปดีแล้ว มีพระทัยสงบ ด้วยกล่าวติเตียน การกล่าวติเตียนในตถาคตนั้น ฟังไม่ขึ้น ฉันนั้นเหมือนกัน

    ภิกษุผู้ดำเนินตามมรรคาของพระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด พึงถึงความสิ้นทุกข์ บัณฑิตพึงกระทำพระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เช่นนั้น ให้เป็นมิตร และพึงคบหาท่าน

    เป็นพระธรรมที่ทรงโอวาท เตือนพุทธบริษัทให้เห็นความสำคัญของมิตร และการคบมิตร

    พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ท่านพระเทวทัตที่นอกจากในพระวินัยปิฎก จุลวรรคนี้แล้ว ใน ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ เทวทัตสูตร ก็มีข้อความเช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อมรรคและผลที่ควรกระทำให้ยิ่งมีอยู่ พระเทวทัตถึงความพินาศเสียในระหว่าง เพราะการบรรลุคุณวิเศษมีประมาณเล็กน้อย

    คือ ท่านเป็นผู้ที่ได้ฌานสามารถที่จะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ แต่ไม่ใช่ผู้ที่ เจริญสติปัฏฐานจนสามารถละกิเลสเป็นสมุจเฉทถึงความเป็นพระอริยเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อท่านได้บรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต้น คือ สามารถแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ได้ แต่เพราะความที่เป็นผู้ต้องการลาภสักการะ ก็ทำให้ท่านเสื่อมจากคุณวิเศษนั้น และไม่ประพฤติปฏิบัติที่จะทำให้ดับกิเลสได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉทด้วย เพราะฉะนั้น ขณะนี้ท่านพระเทวทัตยังคงอยู่ในอเวจีมหานรก

    แต่ขณะนี้ ทุกท่านที่นี่ มีโอกาสที่จะเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งถ้าท่านสะสมเหตุปัจจัยไว้มากพอ ท่านก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะเหตุว่าภูมินี้ไม่ใช่อเวจีมหานรก ไม่ใช่ภูมิที่จะหมดโอกาสของการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม [แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 256]


    หมายเลข 13733
    26 ต.ค. 2568