การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ 4/6
สุ . ถ้าถามดิฉัน ดิฉันเรียนให้ทราบที่นี่ ไม่ต้องไปสำนักปฏิบัติก็เข้าใจได้ ถ้าจะไป ข้อปฏิบัติของสถานที่นั้นสอนให้ทำอย่างไรจึงทำให้รู้ลักษณะของสติ เพราะเหตุว่าที่นี่ไม่ใช่สำนักปฏิบัติ สำนักวิปัสสนา แต่ท่านผู้ฟังอาศัยการฟัง การพิจารณาธรรม และถ้าสามารถเข้าใจลักษณะของสติได้ ท่านก็เจริญสติปัฏฐานได้
ถ . อาจารย์บอกว่าไม่จำเป็นต้องเข้าห้องกัมมัฏฐาน ดิฉันคิดว่าการเข้าห้องกัมมัฏฐานก็ต้องไปอาศัยอาจารย์ที่จะให้ความรู้ต่อไปเหมือนกัน เพราะดิฉันเองก็มีความรู้ความเข้าใจน้อย ขอท่านอาจารย์ช่วยตอบให้ผู้ที่จะเข้าห้องกัมมัฏฐานฟังด้วย
สุ . ไม่ใช่ตอบให้ผู้เข้าห้องกัมมัฏฐาน ท่านที่เข้าใจลักษณะของสติ ท่านก็เจริญสติปัฏฐานกันเป็นปกติ ไม่ใช่ว่าจะชี้แจงสำหรับผู้ที่จะไปเข้าห้อง เพราะเหตุว่าในพระไตรปิฎกไม่มีเรื่องของการไปสู่สำนักปฏิบัติที่เป็นห้องเล็กๆ พระภิกษุท่านจะไปที่ไหนก็ได้ แล้วท่านก็เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ ถ้าสติไม่เริ่มระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เมื่อไรจะรู้ชัดได้
ถ . ที่อาจารย์พูดก็ถูก สำหรับคนที่จะพอเข้าใจบ้าง คนที่อ่านหนังสือพอเป็นมาบ้าง แต่สำหรับผู้ที่อ่านหนังสือไม่เป็น คิดว่ายังคงยาก เพราะฉะนั้น ดิฉันอยากจะพูดในฐานะที่เคยไปเข้าห้องกัมมัฏฐาน เข้าห้องกัมมัฏฐานกับไม่เข้าห้องกัมมัฏฐาน ความรู้สึกในการมีสตินั้นต่างกันมาก เมื่อเราอยู่ข้างนอกเราก็รู้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่รู้อย่างในห้องกัมมัฏฐาน จึงเห็นคุณประโยชน์ในการเข้าห้องกัมมัฏฐานว่า นอกห้องกัมมัฏฐาน มีอารมณ์ภายนอกมากมายเหลือเกิน จนเราไม่สามารถจะย้อนกลับไปดูอารมณ์ภายในใจของเราได้ เป็นเหตุให้จิตออกไปข้างนอก ไปดูอารมณ์ข้างนอกหมด ไม่ได้ย้อนกลับมาดูในจิตของตัวเอง สมัยที่เข้าห้องกัมมัฏฐาน จิตถูกปิดบังเหลืออยู่แต่ภายใน อารมณ์ภายนอกไม่เข้ามากระทบเลย เหลือแต่อารมณ์ภายใน ขณะนั้นจิตก็ไปจับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้ชัดเจน ฉะนั้นการไม่เข้าห้องกัมมัฏฐาน คงไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยในชีวิต
นี่เป็นความคิดที่ดิฉันได้มาจากการเข้าห้องกัมมัฏฐาน และระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าว่า การที่พระองค์ให้อยู่ตามเคหะสถานหรือบ้านเรือนร้างนี้ เพราะเป็นอารมณ์โดดเดี่ยว ไม่กังวล หรือยุ่งต่ออารมณ์ใดๆ ภายนอก จึงสามารถรู้อารมณ์ปัจจุบันได้ชัดเจน ก็เป็นความจริงสำหรับผู้ปฏิบัติหรือเข้าถึงความจริง แล้ว ก็เข้าใจถูกต้อง แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ปฏิบัติเลย ทันทีทันใดจะให้รู้เลย ดิฉันว่ายาก แม้ในขณะนี้ เป็นปัจจุบันอารมณ์ สติสัมปชัญญะอะไรจะเกิด ดิฉันก็พอจะจับได้ เดี๋ยวนี้อกุศลหรือกุศลกำลังเกิดขึ้น สติระลึกได้ ความรู้สึกก็เคยจับอยู่เสมอเหมือนกัน ก็เป็นนัยหนึ่งตามที่ได้เคยเข้าห้องปฏิบัติมา
สำหรับผู้ที่อยู่ข้างนอก และไม่ได้ปฏิบัตินั้น ยังอีกมากมาย จะว่าเขาไม่รู้ เขาก็ว่าเขารู้ จะว่าเขารู้ เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจชัดเจน ด้วยเหตุนี้แหละดิฉันจึงเห็นว่า การไม่เข้าห้องกัมมัฏฐานจะรู้ได้ก็สำหรับบุคคลที่เป็นอุคฆฏิตัญญู หรือบุคคลที่มีปัญญาใกล้จะหลุดพ้น หรือบารมีเปี่ยมแล้ว แต่สำหรับดิฉันเป็นปทปรมบุคคล มีความเข้าใจว่า จำเป็นต้องเข้าห้องกัมมัฏฐาน
สุ . แล้วเจริญอย่างไร จึงได้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้
ถ. ยังไม่ได้กล่าวถึงขณะนี้ แต่กล่าวถึง ขณะที่เคยได้ปัจจุบันอารมณ์ชัดเจนเป็นสันตติขาด การเห็นโดยลักษณะสันตติขาดนี้จึงรู้เงื่อนต้นและเงื่อนปลายแห่งสังสารวัฏฏ์ที่เราได้เวียนว่ายตายเกิด นี่เป็นหลักหนึ่ง
บุคคลผู้ไม่เคยเจริญสติ ย่อมไม่เข้าใจชัดเจนในอารมณ์ปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่สามารถมีสติระลึกรู้ตามทันได้ เหมือนโจรผู้ร้ายเข้ามาในบ้านมาดึงเอาเราไปด้วย นี่เรียกว่าเราขาดสติสัมปชัญญะ แต่ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ ผู้ร้ายเข้ามา ผู้เฝ้าประตูก็ย่อมรักษาประตู หรือรู้ว่าขณะนี้ผู้ร้ายเข้าบ้านแล้ว นายประตูคือสตินั่นเอง เมื่อสติดี นายประตูเฝ้า โจรจะเข้ามา สติสัมปชัญญะก็ไม่ยอมให้เข้า มีหน้าที่คอยประหารอย่างเดียว นี่เรียกว่าเป็นผู้รู้แล้ว แต่ผู้ที่ไม่รู้ ก็คงไม่มีโอกาสที่จะไปฆ่า จะไปเผาผลาญให้พวกผู้ร้ายออกไปได้ นี่ก็เป็นนัยของพวกกิเลส
พวกที่ไม่เข้ากัมมัฏฐาน ดิฉันว่ายาก ดิฉันเห็นว่า การเข้าห้องกัมมัฏฐานนี้มีประโยชน์มากเท่าที่ดิฉันได้ผ่านมา นี่เอาความรู้สึกจากจิตใจมาพูดให้ฟัง เพราะฉะนั้น ดิฉันคัดค้านที่อาจารย์พูดที่ว่าไม่ต้องเข้าห้องกัมมัฏฐาน เปรียบห้องกัมมัฏฐานก็เหมือนกับโรงเรียน ถ้าการสร้างโรงเรียนแล้วไม่มีประโยชน์ คนทั้งหลายก็ย่อมไม่สร้างโรงเรียน หรือไม่สร้างห้องกัมมัฏฐาน ถ้าไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร เพราะคนหนึ่งๆ สร้างสำนักหมดทุนเป็นแสน สามถึงสี่แสน หกแสนก็มีเท่าที่ดิฉันรู้มา เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เป็นประโยชน์ ผู้สร้างก็คงไม่มีมหากุศลจิตอะไรมากมาย แต่ผู้สร้างเห็นประโยชน์อย่างยิ่งจึงสร้าง
สุ . ในพระไตรปิฎก มีท่านผู้ใดสร้างสำนักปฏิบัติสำหรับฆราวาสบ้าง ครั้งโน้นพระธรรมไม่คลาดเคลื่อนเลย ถ้าการเจริญสติปัฏฐานจะต้องทำอย่างนั้น ทำไมไม่ปรากฏในพระไตรปิฎกว่า ฆราวาสจะต้องไปจำกัดสถานที่หรืออะไรๆ หรือแม้ภิกษุ พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงมีข้อบังคับกฎเกณฑ์ว่า จะต้องเจริญอยู่ในห้อง ขอคำอธิบายตอนนี้ด้วย
ถ . ถ้าในครั้งพุทธกาลไม่มีการเข้าห้องกัมมัฏฐาน แต่ดิฉันเคยศึกษาในพระสูตร หรือเคยดูในพระสูตร เช่น พระนางอุบลวรรณาเถรี สมัยที่ออกไปกลางป่านั้น ทำไมจึงต้องออกไปอยู่ป่าคนเดียวจนกระทั่งถูกนายมานพทำครุกรรมหนักให้เกิดขึ้น นี่ถือว่าการปฏิบัติต้องให้ห่างจากหมู่คณะใช่ไหม เพราะการออกจากหมู่คณะจะสร้างปรมัตถประโยชน์ หรือได้ปัจจุบันอารมณ์นั่นเอง ถ้าเราอยู่ในหมู่คณะ การที่จะได้ปรมัตถประโยชน์ หรือปัจจุบันอารมณ์นี้เป็นของยาก จะได้แต่บัญญัติอารมณ์เป็นพื้นฐาน เพราะปัจจุบันอารมณ์จะต้องมีสติสัมปชัญญะ แต่การที่เราอยู่กับหมู่คณะหรือคุยสังสรรค์กันตลอดเวลา ส่วนใหญ่เป็นบัญญัติอารมณ์ทั้งนั้น สำหรับดิฉันคิดว่า การเข้าห้องกัมมัฏฐานนี้มีประโยชน์มาก ดิฉันส่งเสริม เพราะเคยไปเข้ามาแล้วก็เห็นคุณประโยชน์ หรือการไปจับปัจจุบันอารมณ์ได้ จนกระทั่งสติสัมปชัญญะมีกำลังแข็งแรง รู้ช้า รู้เร็ว สติสัมปชัญญะเขาก็มีกำลังในตัวของเขาเอง จนกระทั่งจับปัจจุบันอารมณ์ได้
คนที่เริ่มทำใหม่ๆ จะคล้ายๆ ขึ้นบนเส้นลวด ตอนขึ้นบนเส้นลวดจะต้องประคับประคองจิตให้ตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวตลอดเวลา ย่อมเป็นของยาก แต่ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานมีกำลังดีแล้ว รู้สึกไม่ยาก พอขึ้นบนลวดก็ขึ้นได้เลย เดินได้เลย อะไรเกิด อกุศลจิตเกิด ก็มีหน้าที่กำหนดดูปัจจุบันอารมณ์นั่นเอง นี่สำหรับผู้ที่เข้าใจแล้วก็รู้สึกว่าไม่ยาก แต่สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจก็รู้สึกว่ายากมาก เพราะการที่จะเข้าถึงปัจจุบันอารมณ์ต้องเห็นถึงไตรสรณคมน์ คือ เห็นลักษณะอารมณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือ เห็นในขณะสันตติอารมณ์นั้นขาดลงไป
สุ . ท่านสรรเสริญสำนักปฏิบัติว่า ได้ผล ท่านรู้สภาวะ ประจักษ์สันตติขาด ประจักษ์สันตติขาดนั้นเป็นวิปัสสนาญาณขั้นอุทยัพพยญาณ และที่ท่านรู้สภาวะประจักษ์สันตติขาดนั้นก็เพราะข้อปฏิบัติ คือ ท่านเดิน หรือยืน หรือนั่ง หรือนอนจนเมื่อย แล้วก็เปลี่ยนอิริยาบถเพราะรู้ว่าเป็นทุกข์ ท่านกล่าวว่า ถ้าสำนักปฏิบัติไม่ได้ผลก็คงจะไม่มีใครสร้างเงินเป็นแสนๆ ล้านๆ ท่านกล่าวว่า การเข้าห้องกัมมัฏฐานหรือเข้าห้องปฏิบัติ เหมือนกับการที่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าโรงเรียนจึงจะรู้สภาวธรรมได้ ซึ่งจะขอให้ท่านพิจารณาเป็นข้อๆ ดังนี้
สำหรับข้อคิดที่ ๑ คือ คำกล่าวที่ว่า ถ้าสำนักปฏิบัติไม่ได้ผล ก็คงจะไม่มีใครมีศรัทธาเสียเงินสร้าง
การที่มีคนหนึ่งคนใดมีศรัทธา มีความคิด มีความเชื่ออย่างหนึ่งอย่างใด แล้วก็เสียเงินเสียทองกันเป็นล้านๆ เป็นแสนๆ นั้น ควรจะยึดถือเงินทองที่เสียไป เพราะความคิด ความเห็นความเข้าใจนั้นๆ เป็นเครื่องวัดข้อปฏิบัติว่า เป็นข้อปฏิบัติที่ถูกได้ไหม ซึ่งในพระไตรปิฎก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยยกเงินทองขึ้นเป็นเครื่องตัดสินข้อปฏิบัติเลย เพราะเหตุว่าไม่มีใครที่มีความคิดความเชื่อถูกต้องเหมือนกันหมด แม้ว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ประสูติ ตรัสรู้ และได้ทรงแสดงธรรมแล้ว แต่แม้กระนั้นความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของคนก็ยังแตกแยกออกมากมาย ไม่จำกัดแต่เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ในพระไตรปิฎกจึงไม่มีพยัญชนะที่ว่า ให้สาวกพิจารณาว่าบุคคลใดมีศรัทธา มีความเชื่อ เสียเงินที่จะทำนุบำรุง หรือจัดสร้างที่หนึ่งที่ใดขึ้น ก็ให้ถือว่าเป็นการกระทำที่ได้ผล หรือมีประโยชน์ ประเด็นนี้จึงตัดออกไปได้ เพราะว่าถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ธรรมของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุและผล แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นเป็นเครื่องวัด
สำหรับข้อคิดประการที่ ๒ ที่ท่านผู้นั้นใช้คำว่า ห้องกัมมัฏฐาน ห้องปฏิบัติหรือสำนักปฏิบัติ หรือโรงเรียน
ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน มีสำนักของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำนักสงฆ์ ใช้คำว่า สำนักปฏิบัติหรือเปล่า ใช้คำว่า สำนักปฏิบัติของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าสำนักปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์หรือเปล่า หรือใช้แต่คำว่า สำนักพระผู้มีพระภาค สำนักพระสงฆ์ อย่างพระวิหารเวฬุวัน พระวิหารเชตวัน พระวิหารนิโครธาราม สำนักของพระผู้มีพระภาค สำนักสงฆ์ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำว่าปฏิบัติ แต่ท่านปฏิบัติธรรมหรือไม่ได้ปฏิบัติ หรือต้องมีสำนักพิเศษต่างหากที่เป็นเฉพาะสำนักปฏิบัติ เป็นห้องปฏิบัติ เป็นห้องกัมมัฏฐาน แต่ปกติของท่านเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามธรรมวินัยเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
สำนัก ก็คือ ที่อยู่นั่นเอง ท่านจะอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่นั่นก็เป็นสำนักของท่าน เป็นที่อยู่ของท่าน แล้วท่านก็ประพฤติปฏิบัติธรรม คือ การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตของท่าน
เพราะฉะนั้น ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปใช้คำว่า สำนักปฏิบัติ เพราะเหตุว่าถ้าใช้อย่างนั้น จะทำให้แยกความหมายว่า สำนักเฉยๆ ไม่ได้มีการปฏิบัติแต่เฉพาะบางแห่ง บางสถานที่ จึงจะเป็นสำนักปฏิบัติ นี่เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป
และข้อคิดประการที่ ๓ ข้ออ้างของท่านที่ว่า มีความจำเป็นที่จะต้องไปสู่สำนักปฏิบัติ เหมือนกับทางโลก การที่จะรู้อะไรก็จะต้องเข้าโรงเรียน ต้องไปเรียนที่โรงเรียน
ขอให้ทราบว่า วิชาทางโลกที่ต้องมีโรงเรียนนั้น เพราะเหตุว่าเป็นวิชาที่จำกัดแต่ละวิชาไปว่าเป็นสถาบัน หรือเป็นสถานที่สำหรับศึกษาวิชาอะไร แต่ว่าการศึกษาในพระพุทธศาสนากว้างกว่านั้นมาก โลกทั้งโลก ทุกโลก เป็นโรงเรียน ไม่ว่าท่านจะอยู่ในมนุษย์โลก ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ จนกระทั้งถึงพรหมโลก ท่านก็ต้องเป็นผู้ศึกษา จึงจะสามารถรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้
โรงเรียนของพระพุทธศาสนาที่จะทำให้ผู้ศึกษาเป็นพระอริยบุคคลนั้น ไม่ใช่จำกัดสถานที่หนึ่งที่ใด แต่ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใดก็ตาม ท่านก็เป็นผู้ศึกษาโลก คือ โลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพื่อการรู้แจ้ง เพื่อการละความไม่รู้ซึ่งมีเป็นปกติ ถ้าสติไม่เกิดขึ้น สติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง ขณะนั้นท่านไม่ใช่ผู้ศึกษา ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
และถ้าท่านรู้แจ้งแล้ว ท่านก็แจ้งตลอดทั้งโลก รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง โดยไม่จำกัดว่าท่านจะรู้แคบๆ เพียงที่เดียว หรือว่าเพียงโลกเดียว แต่ท่านจะรู้โลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เพราะฉะนั้น จึงไม่มีข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า การที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะศึกษาโลก เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติเจริญสติแล้วจะต้องไปเข้าโรงเรียน หรือจะต้องไปสู่สำนักปฏิบัติ ในครั้งพุทธกาล ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นพระอริยบุคคลมีทั้งผู้ที่เป็นฆราวาสและบรรพชิต
แม้ผู้ใดที่เห็นว่า ชีวิตของฆราวาสนั้นยากแก่การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ยากแก่การที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปบ่อยๆ เนืองๆ ท่านผู้นั้นมีศรัทธาที่จะเจริญสติปัฏฐานดำเนินมรรคมีองค์ ๘ ในเพศของบรรพชิต ท่านละอาคารบ้านเรือน แล้วไปสู่สำนักของพระผู้มีพระภาคหรือสำนักสงฆ์ ซึ่งสำนักของพระผู้มีพระภาคและสำนักสงฆ์นั้น ไม่มีข้อปฏิบัติที่ให้จำกัดอยู่เฉพาะสถานที่ที่เป็นห้องปฏิบัติ โดยที่ไม่ให้ออกไปที่ไหนเลย เพราะเหตุว่าสำนักของพระผู้มีพระภาคนั้นต้องเป็นสำนักที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ซึ่งพระวินัยปิฎกยังครบถ้วนสมบรูณ์ที่ทุกท่านจะตรวจสอบได้ พระธรรมวินัยไม่เคยจำกัดเลยว่า ไม่ให้บุคคลไหนไปที่ไหน ให้อยู่แต่เฉพาะในห้อง จึงจะเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้นไม่ได้จำกัดบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่ได้ฟังธรรม ตั้งแต่พระราชา มหาอำมาตย์ ไปจนกระทั่งถึงทาสกรรมกร ธรรมอุปมาดุจแสงสว่างที่ส่องไปทั่วถึง ผู้ใดที่มีความเข้าใจธรรม ก็ประพฤติปฏิบัติธรรมได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องสละเพศฆราวาส และถึงแม้จะสละ แล้วไปสู่เพศบรรพชิต ก็ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยไม่มีกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ไม่จำกัดสถานที่ หรือไม่ให้ประกอบกิจการงานใดๆ เลย
ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 159
ท่านผู้ฟังท่านนั้นได้ยกตัวอย่างพระอุบลวรรณาเถรีเป็นข้ออ้างว่า ในครั้งพุทธกาลก็มีสำนักปฏิบัติเหมือนกัน
จะขอกล่าวถึงเรื่องพระอุบลวรรณาเถรีตามข้อความใน พระธัมมปทัฏฐกถา ซึ่งเป็น อรรถกถาขุททกนิกาย คาถาพระธรรมบท ให้ท่านได้พิจารณาชีวิตของบุคคลในครั้งพุทธกาลตั้งแต่ต้นทีเดียว ก่อนที่จะได้เป็นพระอรหันต์จนกระทั่งได้เป็นพระอรหันต์ เพื่อท่านจะได้พิจารณาว่า ท่านประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร
เรื่องของพระอุบลวรรณาเถรี ตามข้อความใน พระธัมมปทัฏฐกถา มีข้อความว่า
ดังได้สดับมา พระเถรีนั้นตั้งความปรารถนาไว้แทบบาทมูลของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ กระทำบุญทั้งหลายสิ้นแสนกัป ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐี ในกรุงสาวัตถี ในพุทธุปปาทกาลนี้ คือ ในสมัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ก็มารดาบิดาได้ตั้งชื่อท่านว่า อุบลวรรณา เพราะท่านมีผิวพรรณเหมือนกลีบอุบลเขียว ต่อมาในกาลแห่งท่านเจริญวัยแล้ว พระราชาและเศรษฐีทั้งหลายในสกลชมพูทวีป ส่งบรรณาการไปสู่สำนักของเศรษฐีว่า ขอเศรษฐีจงให้ธิดาแก่เรา ชื่อว่าคนผู้ไม่ส่งบรรณาการไป มิได้มี
ลำดับนั้น เศรษฐีคิดว่า เราจักไม่สามารถเอาใจของคนทั้งหมดได้ แต่เราจักทำอุบายสักอย่างหนึ่ง เศรษฐีนั้นเรียกธิดามา แล้วกล่าวว่า
แม่เจ้าจักอาจเพื่อบวชไหม
คำกล่าวของบิดาได้เป็นเหมือนน้ำมันที่หุงแล้วตั้ง ๑๐๐ ครั้ง ดังเขารดลงบนศีรษะ เพราะความที่ท่านมีภพมีในที่สุด เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวกับบิดาว่า
พ่อ ฉันจักบวช
เศรษฐีนั้นทำสักการะเป็นอันมากแก่ท่านแล้ว นำท่านไปสู่สำนักพระภิกษุณีให้บวชแล้ว
เป็นเรื่องที่แต่ละท่านจะมาสู่พระธรรมวินัยในลักษณะต่างๆ กัน แม้ในครั้งพุทธกาล และในครั้งนี้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ในวัยไหน ถ้าท่านเริ่มหันมาสู่พระธรรมวินัย ท่านจะได้เห็นว่า การมาสู่พระธรรมวินัยของแต่ละท่านนั้น มาด้วยการสะสมของจิตของแต่ละบุคคล
ข้อความต่อไปเป็นเรื่องชีวิตของพระภิกษุณีว่า ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างไร แล้วท่านเจริญสติปัฏฐาน จึงได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม
ข้อความต่อไปมีว่า
เมื่อท่านบวชแล้ว ไม่นานนัก วาระรักษาลูกดานในโรงอุโบสถถึงแล้ว (เป็นกิจหน้าที่ของพระภิกษุณี) ท่านตามประทีป กวาดโรงอุโบสถ ยืนถือนิมิตแห่งเปลวประทีป พิจารณาแล้วๆ เล่าๆ ยังฌาน มีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้นแล้ว กระทำฌานนั้นแลให้เป็นบาท บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิปทา และอภิญญาทั้งหลายแล้ว
ซึ่งพระอุบลวรรณาเถรี ท่านเป็นเอตทัคคะ คือ เป็นเลิศกว่าพวกภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายผู้มีฤทธิ์
ชีวิตเป็นปกติประจำวัน แม้แต่หน้าที่ของท่าน คือ วาระรักษาลูกดานในโรงอุโบสถ ท่านตามประทีป กวาดโรงอุโบสถ นี่เป็นกิจวัตรของภิกษุณีซึ่งเจริญสติ ปัฏฐานเป็นปกติ ทำกิจการงานเป็นปกติ
ข้อความที่ว่า ท่านถือนิมิตแห่งเปลวประทีป พิจารณาแล้วๆ เล่าๆ ยังฌาน มีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิดแล้ว กระทำฌานนั้นแลให้เป็นบาท บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิปทา และอภิญญาทั้งหลายแล้ว ถ้าท่านไม่เคยเจริญสติเป็นปกติ เวลาที่ฌานจิตเกิด ท่านจะระลึกว่า เป็นนามเป็นรูป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนได้ไหม เพราะฉะนั้น พยัญชนะที่ว่า กระทำฌานนั้นแลให้เป็นบาท จะต้องเข้าใจด้วยว่า จะต้องเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติเท่านั้นจึงสามารถที่จะระลึกได้เวลาที่ฌานจิตเกิดขึ้นว่า แม้ฌานจิตนั้นก็ไม่เที่ยง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
นี่เป็นสำนักพระผู้มีพระภาค ซึ่งมีการเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิต ประจำวัน ถ้าสำนักใดเป็นอย่างนี้ ท่านจะไปสู่สำนักนั้นบ่อยๆ เนืองๆ สักเท่าไรก็ยิ่งเป็นการดี ถึงแม้ท่านยังไม่อาจหรือไม่สามารถที่จะละเพศฆราวาสได้ แต่การไปสู่สำนักเพื่อได้ฟังธรรม เพื่อที่จะได้อุปการะเกื้อกูลต่อการกระทำกิจของพระภิกษุ พระภิกษุณี เหล่านั้นในครั้งนั้น ก็เป็นสิ่งที่แม้อุบาสกอุบาสิกาที่เป็นอริยสาวกก็ได้กระทำในครั้งพุทธกาล
ข้อความต่อไปมีว่า
โดยสมัยอื่น พระเถรีนั้นเที่ยวจาริกไปในชนบท กลับมาแล้วเข้าไปสู่อันธวัน ในกาลนั้น พระศาสดายังไม่ได้ทรงห้ามการอยู่ป่าของพวกพระภิกษุณี ครั้งนั้น มนุษย์ทำกระท่อม ตั้งเตียง กั้นม่านไว้ในป่านั้น แก่พระเถรีนั้น (กระท่อมนั้น มีผู้สร้างให้เป็นที่พักของท่าน) พระเถรีนั้น เข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีเป็นปกติ เป็นกิจวัตรธรรมดา
ธรรมดาไหม บางท่านเข้าใจว่า การเจริญสติปัฏฐาน บิณฑบาตไม่ได้ ไปไหนไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่ายังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล ท่านก็ประพฤติปฏิบัติธรรมตามพระธรรมวินัยเป็นปกติ และแม้เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็มีชีวิตตามปกติ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ไม่มีอะไรที่ผิดปกติ ทำให้คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ท่านผู้นั้นเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี หรือว่าเป็นพระอรหันต์ หรือแม้ว่าญาณหนึ่งญาณใดจะเกิดกับบุคคลใดที่กำลังพูด กำลังเดิน ก็ไม่สามารถที่จะมีผู้หนึ่งผู้ใดทราบได้ว่า ญาณนั้นหรือว่าญาณนี้ได้เกิดกับบุคคลนั้นบุคคลนี้ เพราะว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย
เมื่อพระเถรีนั้นเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ออกมาจากพระนครสาวัตถี กลับไปสู่กระท่อมนั้น เป็นโอกาสให้นันทมาณพประทุษร้ายต่อท่าน ด้วยการกระทำที่ไม่สมควร และผลของการกระทำของนันทมาณพนั้น แผ่นดินก็ได้แยกออกเป็น ๒ ฝ่าย นันทมาณพถูกสูบลงไป จุติแล้ว เกิดในอเวจีมหานรกแล้ว
ฝ่ายพระเถรีบอกเนื้อความนั้นแก่พระภิกษุณีทั้งหลายแล้ว พวกพระภิกษุณีแจ้งเนื้อความนั้นแก่พระภิกษุทั้งหลาย พวกพระภิกษุกราบทูลแต่พระผู้มีพระภาคซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงห้ามการอยู่ป่าของพวกพระภิกษุณี จำเดิมแต่นั้นมา
จะยกเป็นข้ออ้างว่า ในครั้งโน้นมีห้องปฏิบัติได้ไหม มีห้องกัมมัฏฐานได้ไหม เป็นชีวิตปกติธรรมดาของท่าน ที่ในครั้งโน้นกุลธิดามีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ท่านก็อยู่ป่าเหมือนกุลบุตรผู้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แต่ว่าเมื่อเป็นความไม่เหมาะสมสำหรับเพศพระภิกษุณี พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงห้ามการอยู่ป่าของพระภิกษุณี จำเดิมแต่นั้นมา
ถ. ผมสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติ ท่านสอนไว้ว่า ไม่บอดก็ทำเสมือน คนบอด ไม่ใบ้ก็ทำเหมือนคนใบ้ ไม่หนวกก็ทำให้เหมือนคนหนวก ซึ่งตามนี้ก็เข้าในลักษณะที่ถือว่า จะต้องเข้าไปอยู่ในที่เฉพาะในที่จำกัด เพราะในที่เช่นนั้นไม่ต้องพูดกับใคร ไม่ต้องเห็นอะไร ไม่ต้องได้ยินอะไร เพราะเป็นที่จำกัดเฉพาะ ที่ท่านพูดไว้เช่นนั้นกับความหมายที่แท้จริงจะค้านกันหรือเปล่า
สุ . ผู้ที่เจริญสติ มีตาก็ไม่ใส่ใจในนิมิตอนุพยัญชนะ หมายความว่า สติระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่ปรากฏในขณะนั้น มีหูก็เหมือนกัน ไม่ได้เพลิดเพลินไปกับเสียงที่ได้ยินด้วยความยึดถือว่าเป็นตัวตน แต่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ถึงเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงก็ไม่ใช้ความแข็งแรงของร่างกายนั้นไปกระทำทุจริต แต่สติก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจตามปกติ เหมือนกับคนที่ไม่มีกำลัง เพราะว่าไม่ได้ใช้กำลังไปในการต่อสู้ หรือในทางทุจริต
เรื่องของพระธรรมวินัย เป็นเรื่องที่ให้เจริญกุศลทุกทางที่จะเป็นไปได้ พระธรรมเทศนาทั้งหมดเกื้อกูลอุปการะเพื่อให้เกิดกุศล
ข้อ ๑ ที่ท่านผู้ฟังก็อาจจะยังข้องใจอยู่ คือ ในพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการไม่คลุกคลี ซึ่งถ้าท่านผู้ฟังไม่พิจารณาจะทำให้เข้าใจว่า การไม่คลุกคลีนั้นจะต้องไม่พบปะ มีชีวิตที่ไม่ใช่ปกติ เข้าใจว่า นั่นเป็นการไม่คลุกคลี
พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการไม่คลุกคลี เพราะเหตุว่าการไม่คลุกคลีนั้นเป็นเครื่องหมาย เป็นการแสดงถึงอัธยาศัยของบุคคลนั้นที่ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ยึดมั่นในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธัมมารมณ์ แต่ผู้นั้นจะไม่คลุกคลีได้โดยสถานใด ไม่ใช่ว่าโดยการไปฝืน ไปบังคับไว้ชั่วคราว แต่ความจริงเยื่อใยยังคลุกคลี ยังเกี่ยวข้อง ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้น พระผู้มีพระภาคไม่ทรงสรรเสริญ ทรงสรรเสริญการไม่คลุกคลี ซึ่งจะจริงได้ ก็โดยการค่อยๆ ละ ค่อยๆ คลายกิเลสให้หมดไป จึงจะไม่คลุกคลีได้จริงๆ
จะเห็นได้ว่า หนทางดับกิเลสเป็นสมุจเฉทที่ได้ทรงแสดงไว้ ถึงแม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะทรงสรรเสริญการไม่คลุกคลี แต่ก็ไม่มีห้องปฏิบัติในครั้งพุทธกาล เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิดว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการไม่คลุกคลี ก็จะต้องมีห้องสำหรับปฏิบัติ และก็ชื่อว่าห้องปฏิบัติ ราวกับว่าอยู่ที่อื่นปฏิบัติไม่ได้อยู่ในห้องนั้นจึงจะปฏิบัติได้ ซึ่งในพระไตรปิฎกจะไม่เป็นอย่างนั้น
ในพระไตรปิฎก พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญการไม่คลุกคลี ไม่ใช่เป็นการบังคับ ไม่ใช่เป็นการฝืน ด้วยเหตุนี้ในครั้งนั้นจึงไม่มีห้องกัมมัฏฐาน เพราะเหตุว่าข้อปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในพระศาสนานั้น เพื่อให้เกิดปัญญา แต่บางครั้งพยัญชนะบางคำก็อาจจะทำให้ท่านเกิดความปรารถนา ความต้องการ แทนที่จะละความปรารถนา ความต้องการ เช่น คำว่า ญาณ ซึ่งหมายความถึงวิปัสสนาญาณ ท่านที่มีจุดมุ่งในการไปสู่สำนักปฏิบัติ ท่านกล่าวว่า ถ้าท่านเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ญาณไม่เกิด
วิปัสสนาญาณนั้น หมายความถึงปัญญาที่รู้ชัด ท่านมุ่งถึง อุทยัพพยญาณ รู้สภาวะ ประจักษ์สันตติขาด ขณะนี้กำลังเห็น ไม่รู้อะไร นี่เหตุกับผลไม่ตรงกัน
เพราะฉะนั้น สำหรับท่านที่กล่าวว่า ท่านได้ผลมาจากการไปสู่สำนักปฏิบัติ และกล่าวว่า คนที่อยู่ข้างนอกรู้ไม่ชัด คนที่อยู่ข้างนอก หมายความถึงนอกห้องกัมมัฏฐาน นอกสถานที่ปฏิบัติ นอกสำนักปฏิบัติ แต่ขอให้พิจารณาผลและเหตุว่าต้องตรงกัน ท่านกล่าวว่า ผลของท่าน คือ รู้สภาวะ แล้วประจักษ์สันตติขาด โดยข้อปฏิบัติที่นั่งเมื่อยก็เปลี่ยน เพราะรู้ว่าเป็นทุกข์ นอนเมื่อยก็เปลี่ยน เพราะรู้ว่าเป็นทุกข์ ยืนเมื่อยก็เปลี่ยนเพราะรู้ว่าเป็นทุกข์ นั่นคือเหตุที่จะทำให้ท่านรู้สภาวะตามที่ท่านกล่าว ดิฉันก็ถูกท่านที่หวังดี ท่านที่เป็นมิตรสหายในกาลก่อนชักชวนเช่นเดียวกัน โดยยกผลขึ้นมากล่าวว่า ท่านผู้โน้นไปสู่สำนักปฏิบัติแล้วได้ผลมาก
อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต พยากรณสูตร มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย การพยากรณ์อรหัต ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน
คือ บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความเป็นผู้เขลา เพราะความเป็นผู้หลง ๑
บุคคลผู้มีความปรารถนาลามก ผู้ถูกความปรารถนาครอบงำ ย่อมพยากรณ์อรหัต ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความบ้า เพราะจิตฟุ้งซ่าน ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต ตามความสำคัญว่าได้บรรลุ ๑
บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัตโดยถูกต้อง ๑
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย การพยากรณ์อรหัต ๕ ประการนี้แล
ไม่ต้องถึงอรหัต เพียงผลที่ท่านกล่าวมาก็ควรพิจารณาแล้วว่า เป็นผลที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งมีเหตุและผลที่จะตรวจสอบว่า เป็นญาณที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องทั้งผลและเหตุ และไม่ใช่มีแต่ในครั้งนี้ แต่มีในครั้งโน้นทีเดียว มิฉะนั้นพระสูตรนี้คงจะไม่มีที่ว่า
ประการที่ ๑ บุคคลย่อมพยากรณ์อรหัต เพราะความเป็นผู้เขลา เพราะความเป็นผู้หลง ๑ เป็นไปได้ไหม ได้
บุคคลผู้มีความปรารถนาลามก ผู้ถูกความปรารถนาครอบงำ ย่อมพยากรณ์อรหัต ๑
เคยได้ยินใครบอกว่า ได้เป็นพระโสดาบันบ้าง หรือบรรลุโสฬสญาณ น่าคิดว่าเป็นการพยากรณ์เพราะเป็นผู้เขลา ๑ เพราะความเป็นผู้หลง ๑ หรือเพราะถูกความปรารถนาครอบงำ ๑
ความปรารถนานี้ยากเหลือเกินที่จะพรากออก ดูเหมือนว่าท่านปฏิบัติถูกๆ ผิดๆ อย่างไรก็ตาม ถ้ามีใครพยากรณ์ว่า ท่านเป็นพระโสดาบันบุคคล ก็รีบรับเอาทีเดียวด้วยความปรารถนาลามก ด้วยความปรารถนาที่จะเป็นพระโสดาบันบุคคล นี่เป็นสิ่งที่มีเพราะถูกความปรารถนาครอบงำก็เป็นได้ นอกจากนั้นยังมีบุคคลที่ย่อมพยากรณ์อรหัตเพราะความบ้า เพราะจิตฟุ้งซ่าน หรือบุคคลย่อมพยากรณ์อรหัตเพราะความสำคัญว่าได้บรรลุ
ขอถอยลงมาจากอรหัต มาเป็นวิปัสสนาญาณแรก คือ นามรูปปริจเฉทญาณ เพื่อเป็นเครื่องเทียบเคียงว่า ที่ท่านเข้าใจว่าท่านบรรลุญาณแล้วนั้นเป็นความรู้ที่ถูกต้องหรือไม่ และข้อปฏิบัติอย่างไรทำให้ท่านสามารถที่จะรู้ความต่างกันของนามและรูปซึ่งเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ
สำหรับการเจริญสติปัฏฐานที่เพิ่งเริ่มเกิดขึ้น สติเริ่มระลึกรู้ลักษณะของกาย ของเวทนา ของจิต ของธรรม ที่ใช้คำว่า สภาวะ หมายความถึง สภาพธรรมที่มีลักษณะจริงๆ ที่ปรากฏ อ่อน แข็ง ก็เป็นอนัตตา มีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นก็ปรากฏ แต่ปัญญายังไม่รู้ชัดว่าสภาพธรรมนั้นไม่ใช่ตัวตน จนกว่าจะบรรลุถึงนามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งเป็นความรู้ชัดทางมโนทวาร ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ไม่มีความเคลือบแคลงเลยว่า นามธรรมนั้นมีลักษณะอย่างนี้ รูปธรรมนั้นมีลักษณะอย่างนั้น เพราะเมื่อปรากฏสภาพความเป็นอนัตตาทางมโนทวาร จะไม่ก้าวก่ายสับสนปนกัน สืบต่อติดกันแน่นเหมือนอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้ แต่เป็นการรู้ชัด เพราะลักษณะนั้นปรากฏโดยความเป็นอนัตตา จะจำกัดได้ตามความปรารถนาไหมว่า ให้รู้รูปนั้น ให้รู้นามนี้
เพราะฉะนั้น นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานจะต้องเริ่มด้วยการระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ไม่เจาะจง ไม่จำกัด นามที่เกิดปรากฏแล้วก็เป็นสภาพรู้ สภาพรู้มีใครจำกัดได้ไหมว่า ให้รู้แต่สิ่งนั้นตรงนั้น เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าผู้หนึ่งผู้ใดจะสามารถไปยับยั้งเวลาที่ญาณนั้นเกิดขึ้น ให้จำกัดความรู้ไว้เพียงแค่นั้น ไม่ให้รู้อย่างอื่น ให้รู้แต่เฉพาะรูปนั้นก็ไม่ได้ ให้รู้แต่เฉพาะนามนั้นก็ไม่ได้ เมื่อผู้นั้นประจักษ์สภาวธรรมของนามธาตุแล้ว จะหมดความสงสัยในโลกทั้งปวง เพราะนามธาตุเป็นสภาพรู้ ปรากฏในขณะนั้นอย่างไร ที่โลกอื่น ภพอื่น นามธาตุจะเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นได้ไหม นามธาตุก็ยังคงเป็นสภาพรู้อยู่นั่นเอง
เพราะฉะนั้น จะหมดความคิด ความสงสัย ความแคลงใจในนรก ในสวรรค์ ในพรหมโลก หรือในที่อื่น เพราะได้ประจักษ์สภาวะลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง โดยเลือกไม่ได้ แต่ที่ท่านอ้างว่า ท่านรู้สภาวะเพราะนั่งแล้วก็เมื่อย ก็พิจารณาว่าเป็นทุกข์จึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถ ขณะที่คิดอย่างนั้น ช่วยให้ท่านรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมอะไร เป็นใครคิด เป็นแบบ เป็นแผน ที่เวลาจะเปลี่ยนอิริยาบถ ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันหรือ
ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 160