การปฏิบัติผิดและคลาดเคลื่อน


    ยังมีอีกหลายประการที่คิดว่า ควรจะเรียนชี้แจงท่านเจ้าของจดหมายฉบับนี้

    ท่านกล่าวว่า

    “จิตสั่ง โยคีผู้ปฏิบัติ การเข้ากัมมัฏฐาน ออกกัมมัฏฐาน หรือคำอื่นๆ ที่ใช้กัน รู้กัน เข้าใจกันในระหว่างศิษย์อาจารย์ หรือในหมู่ผู้ศึกษาธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาจารย์ก็เอามายึดถือเป็นข้อโต้เถียงในการปฏิบัติวิปัสสนา ปฏิเสธว่าไม่มีใช้ในการเจริญสติเป็นปกติประจำวัน ทำเป็นไม่รู้ไม่เข้าใจ คล้ายๆ ว่า อาจารย์พยายามจะปฏิวัติคำเหล่านี้ให้หมดไป เพราะมันขัดกับความรู้สึกของอาจารย์กระมัง ดูประหนึ่งว่า คำเหล่านี้เป็นคำประหลาด แปร่งๆ ชอบกล ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลยฉะนั้น“

    นี่เป็นความคิดของท่านเจ้าของจดหมาย ซึ่งดิฉันก็ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า เรื่องของธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ทั้งพยัญชนะ ทั้งอรรถ ถ้าท่านใช้คำที่ทำให้ผู้ฟังเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนไป การปฏิบัติของผู้นั้นก็ผิดและคลาดเคลื่อนไปด้วย

    อย่างเช่น “จิต" เป็นสภาพนามธรรม เป็นสภาพรู้ กำลังเห็น มีสีสันวัณณะปรากฏเพราะรู้ ธรรมชาติที่รู้นั้นเป็นลักษณะของนามธรรมชนิดหนึ่ง เสียงปรากฏ เพราะรู้ เสียงก็ยังคงเป็นเสียง เป็นสภาพที่ปรากฏทางหู เป็นลักษณะหนึ่ง แต่ว่าที่กำลังรู้ในเสียงนั้นเป็นลักษณะของนามธรรมชนิดหนึ่ง กลิ่นปรากฏเพราะรู้อีก ถ้าไม่มีการรู้กลิ่น กลิ่นจะปรากฏได้ไหม ไม่ได้ ที่กลิ่นปรากฏเพราะรู้ กลิ่นก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เสียง ไม่ได้ปรากฏทางหู แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏตรงจมูก รู้กลิ่นก็รู้ตรงจมูก เป็นแต่เพียงสภาพรู้กลิ่น เป็นลักษณะของนามธรรมชนิดหนึ่ง รสปรากฏเพราะรู้ เป็นสภาพรู้รส เป็นลักษณะของนามธรรมชนิดหนึ่ง เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหวปรากฏเพราะรู้ เป็นแต่เพียงสภาพรู้ชนิดหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นก็รู้เย็นที่ปรากฏ รู้ร้อนที่ปรากฏ รู้อ่อนที่ปรากฏ รู้แข็งที่ปรากฏ รู้ตึงไหวที่ปรากฏ สติระลึกได้ รู้ว่า เป็นสภาพนามธรรม เป็นสภาพรู้ รู้ลักษณะของจิตที่รู้สี รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้โผฏฐัพพะ หรือแม้แต่ขณะที่คิดนึก จิตกำลังรู้คำที่นึก รู้คำที่คิด

    เพราะฉะนั้น ตรงกับสภาพธรรม ตรงกับพยัญชนะที่ทรงใช้ว่า ลักษณะของจิตเป็นแต่เพียงสภาพรู้อารมณ์ มีพยัญชนะใดหรือเปล่าที่ใช้ว่า ลักษณะของจิต สั่งอารมณ์ ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น การใช้พยัญชนะที่ถูกต้อง ย่อมทำให้ท่านพิจารณาสำเหนียก รู้ลักษณะที่ลึกซึ้งของนามธรรมและรูปธรรมได้ถูกต้อง ไม่คลาดเคลื่อน

    เป็นความจำเป็นที่ว่า ถ้าท่านผู้ฟังไม่สำเหนียก ไม่สังเกต ไม่รู้ว่า ถ้าท่านชินกับพยัญชนะใด ท่านอาจจะเข้าใจผิด คลาดเคลื่อนไปได้ อย่างคำว่า “ดู" แต่สติไม่ได้แปลว่าดู

    ในพระไตรปิฎกทรงแสดงสภาพลักษณะของนามธรรมที่เป็นสติว่า เป็นสภาพที่ระลึกได้ แต่เวลาที่ท่านคิดว่า ดู จะมีตัวตนที่กำลังดู ซึ่งละไม่ได้ เพราะท่านไม่รู้ว่า สติเป็นสภาพที่ระลึกจึงรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ ทันทีที่รู้ลักษณะปรมัตถธรรม นั่นเป็นลักษณะของสติที่ไม่หลงลืมและระลึกตรงลักษณะ ขณะที่กำลังระลึกรู้สภาวะลักษณะของนามหรือรูป เป็นสติที่ระลึก ไม่หลงลืม และสตินั้นก็ดับไป แล้วแต่ว่าจะระลึกได้บ่อยหรือไม่บ่อย แต่เวลาที่ท่านคิดว่าดู จะมีตัวตนที่กำลังดู ซึ่งละไม่ได้ เพราะท่านไม่รู้ว่า สติเป็นสภาพที่ระลึกจึงรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    นี่เป็นความละเอียดของธรรม เพื่อความเข้าใจชัดเจนของท่านผู้ฟัง และท่านสามารถตรวจสอบได้กับพระไตรปิฎก กับสภาพธรรมตามความเป็นจริง ทุกขณะที่สติระลึกในลักษณะของจิต จิตจะเป็นสภาพที่รู้

    มีคำว่า “จิตตชรูป" จริง มีคำว่า “กัมมชรูป" มีคำว่า “อุตุชรูป" “อาหารชรูป"

    สมุฏฐานที่ตั้งที่ก่อให้เกิดรูปนั้นมี ๔ กรรมก็เป็นที่ตั้งที่ก่อให้เกิดรูปขึ้น จิตก็เป็นที่ตั้งที่ก่อให้เกิดรูปขึ้น อุตุ ความเย็นความร้อนก็เป็นที่ตั้งที่ก่อให้เกิดรูปขึ้น อาหารก็เป็นที่ตั้งที่ก่อให้เกิดรูปขึ้น แต่ไม่มีกรรมสั่ง จิตสั่ง อุตุสั่ง อาหารสั่ง

    จิตตชรูปทุกรูปเกิดพร้อมอุปปาทขณะของจิต จิตทุกดวงมี ๓ ขณะ คือ มี อุปปาทขณะ ขณะที่เกิดขึ้น ฐีติขณะ ขณะที่ยังไม่ดับไป ภังคขณะ ขณะที่ดับ ใน ๓ ขณะนี้ กัมมชรูปเกิดทั้งในอุปปาทขณะ ฐีติขณะ และภังคขณะ แต่ว่าจิตตชรูปเกิดพร้อมกับอุปปาทขณะของจิต จะสั่งได้อย่างไร แต่เป็นสมุฏฐาน เป็นที่ก่อให้เกิดรูปนั้นขึ้นได้ แล้วแต่ว่าจะเป็นสภาพของจิตชนิดใด กุศลจิตเกิดขึ้น รูปที่เกิดขึ้นเพราะมีจิตที่เป็นกุศลเป็นสมุฏฐาน ต่างกับรูปที่เกิดขึ้นเพราะมีจิตที่เป็นอกุศลเป็นสมุฏฐาน ไม่ได้สั่ง แต่เป็นสมุฏฐาน เป็นปัจจัยที่จะให้รูปนั้นเป็นไปอย่างนั้น

    ถ้าท่านระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง สภาพธรรมก็ปรากฏโดยไม่คลาดเคลื่อนไปจากพระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ที่ท่านจะพิสูจน์ได้ เพราะว่าเป็นสัจธรรม


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 220


    หมายเลข 13660
    22 พ.ค. 2568