ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
ท่านผู้ฟังเขียนมาว่า
“แต่เหตุใดอาจารย์จึงคัดค้านและย้ำหนักเรื่องผู้ที่ไปเข้ากัมมัฏฐานว่าไม่จำเป็น ไม่สำคัญ เพราะเป็นอัตตาตัวตน ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ผมขอเรียนถามอาจารย์อย่างซื่อๆ ว่า ในพระธรรมวินัยท่านทรงห้ามไม่ให้ผู้ปฏิบัติ ปฏิบัติในห้องที่จัดไว้ หรือที่ๆ ผู้ปฏิบัติเห็นสมควรนั้น มีห้ามไว้ในพระธรรมวินัยหรือเปล่า
อีกประการหนึ่ง บ้านเมืองและผู้คนในสมัยปัจจุบันกับสมัยพุทธกาลผิดกันราวฟ้ากับดิน วัตถุ บุคคล เครื่องล่อตาล่อใจ ก็ผิดกันราวฟ้ากับน้ำ สติปัญญาในการทรงธรรมของคนสมัยนี้กับสมัยพระพุทธองค์ก็ผิดกันอย่างพูดไม่ถูก ในสมัยพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงสอนเสร็จ ก็มีผู้สำเร็จมรรคผลเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน สมัยนี้สอนกันเป็นแรมปี อ่านพระไตรปิฎกกันจบแล้วจบอีก ก็ยังถกเถียงกันเรื่องสถานที่ที่ปฏิบัติไม่รู้จักจบ เป็นอันว่าคำสอนของพระพุทธองค์ไม่สำคัญเท่าสถานที่เสียแล้ว ชาวพุทธทุกคนก็รู้ว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงบำเพ็ญเพียรมานานถึง ๖ ปี เพิ่งมาตรัสรู้เมื่อตอนพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ตีจากไปเสียจากพระองค์ เมื่อไม่มีใครรบกวนแล้ว พระองค์จึงทรงเลือกที่ที่ทรงเห็นว่าเป็นที่สงบ ไม่มีสิ่งใดๆ รบกวนแล้ว จึงทรงบำเพ็ญจนตรัสรู้ได้ เพราะสถานที่อันสงบเงียบนั้นใช่ไหม“
ท่านอ้างสถานที่อันสงบเงียบ ท่านผู้ฟังเป็นเพศบรรพชิต หรือว่าเป็นฆราวาส พระผู้มีพระภาคเสด็จออกเพื่อการตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในเพศของบรรพชิต หรือว่าในเพศของฆราวาสที่ว่าเมื่อบรรลุแล้วจะกลับมา ถ้าท่านเห็นว่าการเจริญสติปัฏฐานของท่านไม่สามารถที่จะเจริญได้ในเพศของฆราวาส ท่านมีเหตุปัจจัยสะสมมาที่จะบรรพชาอุปสมบท เจริญสติปัฏฐานในเพศของบรรพชิต ท่านทำได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเข้าใจผิด โดยฐานะที่ท่านไม่ได้สะสมมาที่จะเป็นเพศบรรพชิต แต่ท่านจะไปเพื่อว่าบรรลุแล้วจะกลับมา นั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง
อีกประการหนึ่ง ขอให้ท่านผู้ฟังระลึกถึงคืนที่พระผู้มีพระภาคจะทรงตรัสรู้ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในยามต้น ทรงระลึกชาติเป็นอันมาก เป็นผลของการเจริญสมถภาวนา เรื่องของสถานที่ เรื่องของความสงบ เรื่องของพระบารมี เนกขัมมบารมีพร้อมด้วยการเป็นผู้ที่สั่งสมบุญกุศล เพียบพร้อมด้วยวิชาและจรณะ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ทรงมีแต่การตรัสรู้อริยสัจธรรมเท่านั้น แต่ยังมีวิชาและจรณะ ซึ่งเป็นผลของการเจริญสมถภาวนาด้วย เพราะฉะนั้น ในยามต้น พระผู้มีพระภาคทรงระลึกชาติ ซึ่งเป็นผลของการเจริญสมถภาวนา
ในยามที่ ๒ ทรงรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ เป็นผลของการเจริญสมถภาวนา แต่ทั้งสองยามนั้นไม่ทำให้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นเรื่องที่ทรงบำเพ็ญมาในเพศของบรรพชิต และทรงเพียบพร้อมด้วยวิชาและจรณะที่จะเป็นอย่างนั้น
ในยามที่ ๓ ทรงระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏ จนกระทั่งละอาสวะหมดสิ้นเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน เป็นวิปัสสนาภาวนา
ถ้าท่านศึกษาในพระไตรปิฎก ชีวิตของบรรพชิต แม้ในการเจริญสมถภาวนา ถึงการระลึกชาติได้ ถึงการรู้จุติและปฏิสนธิของสัตว์ และสามารถแทงตลอดในสภาพธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระอริยเจ้า ทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 220
