อุโบสถขันธกะ


    ใน พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อุโบสถขันธกะ เรื่องปริพาชกอัญญเดียรถีย์มีข้อความว่า

    สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ถึงวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์ ย่อมประชุมกันกล่าวธรรม คนทั้งหลายก็พากันเข้าไปหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเพื่อ ฟังธรรม พวกเขาได้ความรัก ได้ความเลื่อมใสในพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมได้พรรคพวก พระเจ้าพิมพิสารได้มีพระราชปริวิตกเกิดขึ้นว่า

    ไฉนหนอ พระคุณเจ้าทั้งหลายพึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์บ้าง พระองค์จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลให้ทรงทราบ และขอประทานพระวโรกาส ขอให้พระคุณเจ้าทั้งหลายพึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์

    พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในวันที่ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์ ภิกษุก็ประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์ แล้วนั่งนิ่งเสีย

    คนทั้งหลายเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นเพื่อฟังธรรม พวกเขาต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายแห่งพระศากยบุตรประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์ จึงได้นั่งนิ่งเสียเหมือนสุกรอ้วนเล่า ธรรมเนียมภิกษุผู้ประชุมกันควรกล่าวธรรมมิใช่หรือ

    ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายประชุมกันกล่าวธรรมในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำแห่งปักษ์ และภายหลังพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตสิกขาบทที่พระองค์ทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้เป็นปาติโมกขุทเทศ เป็นอุโบสถกรรม ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์

    จะเห็นว่าในพุทธศาสนานั้นไม่ได้ห้ามพูดเลย โดยเฉพาะไม่ได้ห้ามการแสดงธรรม การพร่ำสอน หรือการกล่าวสอนธรรม แม้การสวดปาติโมกข์ก็ไม่เป็นเครื่องขัดขวางการเจริญสติ ถ้ามีความเข้าใจการเจริญสติ เพราะเหตุว่าไม่ว่าจะพูด ไม่ว่าจะนิ่ง ไม่ว่าจะคิด ผู้ที่เจริญสติก็ย่อมสามารถที่จะใส่ใจรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติที่เป็นชีวิตจริงๆ ตามความเป็นจริงได้

    เพราะฉะนั้น ในพระพุทธศาสนาการเจริญสติปัฏฐาน ไม่ห้ามพูด มีใครบ้างไหมที่วันหนึ่งๆ ไม่ได้พูด แต่จะพูดมากหรือพูดน้อย จะพูดเรื่องอะไร เพราะเหตุว่าถึงแม้จะเป็นภิกษุ บางครั้งบางรูปก็ยังพูดเรื่องพระราชา เรื่องโน้นเรื่องนี้ที่เป็นเดรัจฉานคาถา เพราะเหตุว่าท่านยังเป็นผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่

    ผู้ที่ยังไม่ได้ละอาคารบ้านเรือนเป็นผู้ที่เจริญสติ พูดได้ไหม หรือว่าห้ามพูดไม่ให้พูด ถ้าเป็นปกติชีวิตจริงๆ แล้ว แม้ขณะที่พูดก็ให้มีการรู้สึกตัว เพื่อที่จะได้รู้ลักษณะของนามหรือรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะเหตุว่าการพูดก็เป็นของจริง ไม่ต้องไปบังคับ ไปฝืน ไปสร้างชีวิตให้ผิดปกติไป

    ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่รู้สภาพของนามและรูปที่เป็นปกติในชีวิตตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ปัญญาที่ละกิเลส ละไม่ได้ ชั่วครั้งชั่วคราวที่ไปบังคับไว้ แล้วก็คิดว่ารู้ลักษณะของนามและรูป รู้ไม่ทั่ว รู้ไม่จริง ไม่ใช่การรอบรู้ เพราะฉะนั้น ก็ละไม่ได้

    ผู้ใดก็ตามที่เข้าใจการเจริญสติ ในมหาสติปัฏฐาน ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานก็มี ไม่ว่ากำลังพูด กำลังนิ่ง ก็ให้เป็นผู้ที่มีสติ การเจริญสติปัฏฐานนั้นเพื่อปัญญารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐาน หมายความถึงการรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังพูดมีลักษณะอะไรปรากฏบ้างไหม หรือไม่มี มีเห็นไหม มีเย็นไหม มีสภาพธรรมหลายอย่าง มีการเคลื่อนไหว หรือว่ามีแข็งมีอ่อนที่ปรากฏ ในส่วนที่กำลังปรากฏนั้น สติก็สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้

    บางท่านก็ใจร้อน หรือว่าอยากให้ปัญญาเกิดมากๆ ก็พยายามไปคิดว่า อะไรเป็นปัจจัยในขณะที่สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดกำลังปรากฏ แต่ถ้าไม่รู้ลักษณะว่าสภาพนั้นเป็นรูป เป็นสภาพที่ไม่ใช่สภาพรู้ หรือว่าสภาพนั้นเป็นนามธรรมถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว จะไม่รู้ปัจจัย จะไม่รู้เหตุที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น นอกจากคิดเพราะอาศัยการศึกษา คิดเพราะเคยฟังมาว่า อะไรเป็นปัจจัยให้อะไรเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่การรู้ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ ถ้าเป็นการรู้ในขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏแล้ว ความรู้ต้องเกิดขึ้นชัดเจนถูกต้องเป็นลำดับขั้น

    ถ้าปัญญายังไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามและรูปทางตา จะรู้ได้อย่างไรว่า การเห็นมีอะไรเป็นปัจจัย เมื่อกำลังรู้ชัดในลักษณะที่กำลังปรากฏ ก็จะรู้ปัจจัยที่ทำให้เกิดนามและรูปในขณะนั้นด้วย

    เป็นเรื่องที่เห็นได้ว่า การกล่าวสอน การพร่ำสอน การแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้นมีประโยชน์มาก ผู้ที่ศึกษาธรรมด้วยความรอบคอบ ด้วยความละเอียด ประพฤติปฏิบัติตามก็ย่อมจะได้รับประโยชน์ แต่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ฟัง ถ้าผู้ที่ไม่ฟังก็หมดโอกาส เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้โดยการคิดเอาเอง เพราะฉะนั้น การฟังธรรมหรือว่าการกล่าวสอนหมู่คณะนั้น ไม่ใช่เครื่องกั้นของการเจริญสติปัฏฐาน

    มีใครที่จะเจริญสติปัฏฐานและพยายามไม่พูด มีบ้างไหม ในพระไตรปิฎกห้ามหรือไม่ แสดงเหตุผลว่า การคลุกคลีกับหมู่คณะ การกล่าวเรื่องที่ไม่ใช่กุศลย่อมเป็นเหตุให้เพลิดเพลินไปในอกุศล เป็นไปกับโลภะ โทสะ โมหะ แต่ถ้าเป็นกุศล ก็เป็น วิริยกถา เป็นปัญญากถา เป็นสติ เป็นมรรคมีองค์ ๘

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฟังธรรมก็จะต้องพิจารณา เพราะว่าบางท่านอยากให้มีสติมากๆ ไม่อยากพูดกับใครเลย บางทีอาจจะเป็นความรู้สึกอย่างนั้นว่า ไม่อยากพูด เพราะว่าอยากเจริญสติ นั่นเป็นความต้องการสติ ไม่ได้เป็นปกติธรรมดา ซึ่งถ้าเป็นตามปกติธรรมดาแล้ว บางครั้งก็อาจจะพูด และมีการรู้สึกตัวได้ ไม่ว่ากำลังพูดอะไรก็ตาม หรือว่ารู้สภาพลักษณะความต่างกันของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่มีสติ รู้ได้ว่าพูดขณะไหนไม่มีสติ หรือว่าขณะไหนที่ไม่ได้หลงลืมสติ เพราะว่ารู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติได้ ไม่ใช่ว่ามีไม่ได้

    ก็คงจะไม่มีปัญหาในเรื่อง การกล่าวสอนหมู่คณะว่า ไม่ขัดขวางการเจริญ วิปัสสนา

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 52


    หมายเลข 13468
    28 พ.ย. 2568