ป่าอันธวัน


        ท่านผู้ฟังคงจะได้ยินคำว่า ป่าอันธวัน ในพระสูตรบ่อยๆ ซึ่งเป็นป่าที่อยู่ใกล้กับพระวิหารเชตวัน แต่คงจะไม่ทราบถึงประวัติของป่าอันธวัน

        ข้อความในอรรถกถา ได้กล่าวถึงประวัติของป่าอันธวันไว้ใน ปปัญจสูทนี ซึ่งเป็นอรรถกถาของ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ วัมมิกสูตร ซึ่งมีเรื่องชีวิตของสาวกที่เป็นฆราวาส ที่เป็นอริยสาวกด้วย

        ประวัติของป่าอันธวัน มีว่า

        พระสรีระธาตุของพระผู้มีพระภาคผู้มีอายุน้อยทั้งหลาย ย่อมกระจัดกระจายด้วยอานุภาพแห่งการอธิษฐาน พระสรีระธาตุของพระผู้มีพระภาคผู้มีอายุยืนทั้งหลายย่อมตั้งอยู่เป็นชิ้น คือ เป็นแท่งเดียวดุจแท่งทอง พระสรีระธาตุแม้ของพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสสปะ ก็ได้ดำรงอยู่แล้วแม้อย่างนี้ ต่อแต่นั้น มหาชนก็ประชุมกันว่า พระธาตุเป็นแท่งเดียวกัน ใครๆ ไม่อาจจะแยกออกจากกันได้ พวกเราจักทำอย่างไรกัน แล้วกล่าวว่า

        พวกเราจักกระทำพระธาตุที่เป็นแท่งเดียวเท่านั้นไว้ในเจดีย์ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เจดีย์นั้นสูงถึง ๗ โยชน์ แต่มหาชนตกลงใจกันว่า เจดีย์นี้ใหญ่นัก ในอนาคตใครๆ ไม่อาจจะปฏิบัติได้ ขอเจดีย์จงมีประมาณ ๖ โยชน์ ขอเจดีย์จงมีประมาณ ๕ โยชน์ ลดลงอีกเป็น ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ จนถึง ๑ โยชน์ แล้วจึงคิดกันว่า

        อิฐทั้งหลายย่อมเป็นเช่นไร จึงได้ตกลงใจกันว่า แผ่นอิฐทางด้านนอก จงสำเร็จด้วยทองสีแดงเป็นแท่งเดียวมีค่า ๑ แสน อิฐด้านในมีค่าห้าสิบพัน คือ ห้าหมื่น อิฐที่จะกระทำด้วยดินเหนียว ก็กระทำด้วยหรดาล คือ หินชนิดหนึ่ง และ มโนศิลา กิจที่จะต้องทำด้วยน้ำ เขาทำด้วยน้ำมัน ดังนี้ แล้วก็ได้แบ่งทางเข้าออกเป็น ๔ ส่วน พระราชาทรงรักษาประตูทางเข้าด้านหนึ่ง พระกุมารผู้ทรงไว้ซึ่งแผ่นดิน ผู้เป็นราชบุตร รักษาประตูด้านหนึ่ง เสนาบดีซึ่งเป็นหัวหน้าของอำมาตย์ทั้งหลาย รักษาประตูด้านหนึ่ง เศรษฐีผู้เป็นหัวหน้าของชาวชนบททั้งหลาย รักษาประตูด้านหนึ่ง แต่เพราะเหตุที่พระเจดีย์นั้น เพียบพร้อมด้วยทรัพย์ คือ แผ่นอิฐทางด้านนอก จงสำเร็จด้วยทองสีแดงเป็นแท่งเดียวมีค่า ๑ แสน อิฐด้านในมีค่าห้าสิบพัน คือ ห้าหมื่น อิฐที่จะทำด้วยดินเหนียว อันเขากระทำไว้ด้วยหรดาลและมโนศิลา กิจที่จะต้องทำด้วยน้ำ เขาทำด้วยน้ำมัน ดังนี้

        แม้พระราชาก็ทรงให้นำทองคำมา เริ่มทำกรรมที่ประตูที่พระองค์ทรงรักษา อุปราชก็ดี เสนาบดีก็ดี ก็ได้ทำเช่นนั้นที่ประตูของตนๆ แต่การงานยังค้างอยู่ที่ประตูที่เศรษฐีรักษาไว้ ต่อแต่นั้น อุบาสกคนหนึ่งชื่อยโสธร เป็นผู้แตกฉานในพระไตรปิฎก และเป็นพระอริยสาวก ผู้เป็นพระอนาคามี อุบาสกผู้นั้นได้ทราบว่า การงานยังค้างอยู่ จึงได้ให้บุคคลเทียมเกวียน ๕๐๐ เล่มไปยังชนบท ชักชวนว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ปรินิพพานแล้ว รัตนเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์ อันเขาสร้างไว้เพื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ใดปรารถนาจะให้สิ่งใด จะเป็นทองก็ตาม เงินก็ตาม รัตนะ ๗ ประการก็ตาม หรดาลก็ตาม มโนศิลาก็ตาม ผู้นั้นจงให้สิ่งนั้น มนุษย์ทั้งหลายได้ให้สิ่งทั้งหลาย มีเงิน และทอง เป็นต้น ตามกำลังของตน ผู้ที่ไม่สามารถจะให้อะไรๆ เช่น เงิน ทอง เป็นต้น ก็สามารถจะให้น้ำมัน ข้าวสาร เป็นต้น

        อุบาสกได้ส่งน้ำมัน และข้าวสาร เป็นต้น เพื่อค่าจ้างและรางวัล สำหรับพวกกรรมกรทั้งหลาย ให้จ่ายทองคำแก่บุคคลที่เหลือ ส่งไปแล้ว ได้เที่ยวไปตลอด ชมพูทวีปทั้งสิ้น ด้วยประการฉะนี้

        การงานที่เจดีย์สำเร็จแล้ว เพราะเหตุนั้น ชนทั้งหลายจึงส่งหนังสือไปจากที่ที่ก่อสร้างเจดีย์ว่า งานเสร็จแล้ว ขออาจารย์จงมาไหว้พระเจดีย์ แม้อุบาสกก็ส่งจดหมายไปว่า เราได้ชักชวนชาวชมพูทวีปไว้ว่า สิ่งใดมี จงถือเอาสิ่งนั้น ทำให้งานสำเร็จ จดหมายทั้งสองฉบับมาพบกันในระหว่างทาง แต่จดหมายจากสถานที่สร้างเจดีย์ได้ไปถึงมือของอาจารย์ก่อน อุบาสกผู้เป็นอาจารย์นั้น อ่านจดหมายแล้ว ก็ดำริว่า เราจักไหว้พระเจดีย์ ดังนี้ แล้วก็ออกเดินทางไปแต่ผู้เดียว

        ในระหว่างทาง โจร ๕๐๐ ได้ดักอยู่ในดง ในดงแห่งนั้น โจรพวกหนึ่งเห็นอุบาสกนั้นแล้ว จึงได้คิดกันว่า อุบาสกนี้ได้รวบรวมเงินและทองมาจากชมพูทวีปทั้งสิ้นขุมทรัพย์ทั้งหลายที่เป็นไปอยู่ ได้มาแล้ว ดังนี้ จึงได้บอกแก่โจรที่เหลือ แล้วได้จับอุบาสกนั้นไว้

        อุบาสกถามว่า

        พ่อทั้งหลาย เพราะเหตุใดพวกท่านจึงจับข้าพเจ้าไว้

        พวกโจรตอบว่า

        ท่านได้รวบรวมเงินและทองทั้งสิ้นจากชมพูทวีปไว้ ท่านจงให้เงินและทองแก่พวกเราสักเล็กน้อย

        อุบาสกตอบว่า

        พวกท่านไม่รู้ดอกหรือว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง พระนามว่ากัสสปะ ปรินิพพานเสียแล้ว ชนทั้งหลายได้สร้างรัตนเจดีย์ประมาณหนึ่งโยชน์เพื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เราได้รวบรวมทรัพย์เอาไว้ก็เพื่อประโยชน์ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ตนเอง ข้าพเจ้าส่งทรัพย์นั้น จากสถานที่ที่ข้าพเจ้าได้แล้ว ได้แล้ว ไปที่เจดีย์เท่านั้น แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เว้นผ้าสาฎกที่นุ่งไว้เสียแล้ว ก็ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรอื่น แม้แต่กากณึกเดียว

        โจรพวกหนึ่งกล่าวขึ้นว่า

        เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านจงปล่อยอาจารย์ท่านนี้ไปเสียเถอะ

        โจรอีกพวกหนึ่งกล่าว่า

        อุบาสกนี้ พระราชาก็ยกย่อง อำมาตย์ก็ยกย่อง ถ้าเห็นพวกเราคนใดคนหนึ่งเข้าที่ในเมือง ก็จะพึงบอกแก่พระราชา และราชอำมาตย์ เป็นต้น แล้วพึงยังพวกเราให้ถึงความพินาศย่อยยับ

        อุบาสกกล่าวว่า

        พ่อคุณทั้งหลาย ข้าพเจ้าจักไม่กระทำอย่างนี้

        ข้อความในอรรถกถามีว่า

        คำพูดของอุบาสกนั้นนั่นแล เป็นไปเพื่อความกรุณาในพวกโจรเหล่านั้น หาใช่เพื่อความเยื่อใยในชีวิตของตนไม่

        เพราะเหตุว่า ท่านเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีบุคคลแล้ว จึงไม่มีการที่จะไปสู่ที่ตกต่ำ คือ ในอบายภูมิอีกต่อไป แต่ว่ากรรมที่พวกโจรกระทำนี้ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิได้

        เมื่อพวกโจรเหล่านั้นถกเถียงกันอยู่ว่า ควรจับ ควรปล่อย ดังนี้ พวกที่มีความเห็นว่าควรจับ ดังนี้ มีมากกว่า จึงให้ฆ่าอุบาสกนั้นเสีย

        ตาทั้งหลายของพวกโจรเหล่านั้น ได้อันตรธานหายไป ดุจเปลวแห่งประทีปที่ดับไป ฉะนั้น เพราะความผิดในพระอริยสาวกผู้มีคุณมาก พวกโจรเหล่านั้น บ่นเพ้อกันอยู่ว่า แน่ะผู้เจริญ ตาของข้าพเจ้าหายไปไหนเสีย แน่ะผู้เจริญ ตาของข้าพเจ้าหายไปไหนเสีย

        โจรบางพวก พวกญาติก็นำไปสู่เรือน บางพวกไร้ญาติ ก็หมดที่พึ่ง เพราะเหตุนั้น พวกโจรเหล่านั้น จึงอยู่ที่บรรณศาลาที่โคนไม้ ในดงนั้นเอง พวกมนุษย์ที่มาถึงดง ย่อมให้ข้าวสารบ้าง ข้าวห่อเสบียงบ้าง

        พวกมนุษย์ที่ไปเพื่อประโยชน์แก่ไม้ และใบไม้ เป็นต้น มาแล้ว เมื่อคนทั้งหลายถามว่า พวกท่านไปไหนกัน ก็ตอบว่า พวกเรามาสู่ป่าอันธวัน ในกาลแห่งพระพุทธเจ้า แม้ทั้งสองพระองค์ ป่าแห่งนั้นก็ยังปรากฏชื่อว่า อันธวัน คือ ป่าเป็นที่อยู่ของคนตาบอดอยู่นั่นเอง ดังพรรณนามาฉะนี้

        ซึ่งท่านผู้ฟังจะเห็นการสะสมที่ต่างกัน พวกโจรให้ฆ่าอุบาสก แต่เวลาที่พวกโจรตาบอด พวกมนุษย์ที่ไม่ใช่โจร เวลาที่ไปถึงอันธวัน ก็ย่อมให้ข้าวสารบ้าง ข้าวห่อบ้างเสบียงบ้าง เป็นการอนุเคราะห์แก่พวกโจรที่ตาบอดเหล่านั้น นี่ก็เป็นการสะสมกรรมที่ต่างกัน

        ที่มา ...

        แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 389


    หมายเลข 12858
    22 พ.ย. 2566