จะหมดการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเรา ได้อย่างไร


        สุ. คุณสุรัตน์รู้สึกมีคำถามจะถามใช่ไหมคะ

        ผู้ฟัง สภาพธรรมทั้งหมดมีหลายแขนง แล้วก็เอาจะเอาตัวไหนเป็นหลักครับ ตัวรู้ คือ รู้ว่าตาเห็นรูป ตัวรู้ว่า จมูกได้กลิ่น ตัวรู้ว่า หูได้ยิน ตัวรู้ว่า กายสัมผัส ทุกอย่าง หรือจะเอารูปเดิน จะเอาตัวไหนเป็นหลักครับ

        สุ. จะเอา ใช่ไหมคะ

        ผู้ฟัง จะรู้ครับ

        สุ. จะรู้อะไร

        ผู้ฟัง จะรู้ว่า เราควรจะ

        สุ. ไม่ใช่เราควรจะ นั่นไม่ใช่รู้ ฟังธรรมให้เข้าใจว่า ธรรมคืออะไร เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า และเป็นธรรมเพราะอะไร แต่ไม่ใช่ให้เราจะเอา หรือเราจะทำ แต่ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏให้ถูกต้อง เพื่อที่จะไม่มีเรา เพราะความจริงไม่มีเรา มีธรรม ซึ่งมีลักษณะ ๒ อย่าง ธรรมอย่างหนึ่ง มีจริงๆ อย่างกลิ่น มีไหมคะ กลิ่น

        ผู้ฟัง มีครับ

        สุ. เดี๋ยวนี้มีไหม

        ผู้ฟัง มีครับ

        สุ. ปรากฏเมื่อไร

        ผู้ฟัง เมื่อตอนที่เราได้กลิ่น

        สุ. เมื่อมีสภาพที่รู้กลิ่น กลิ่นจึงปรากฏ ถ้าสภาพรู้กลิ่นไม่เกิด กลิ่นปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นขณะใดที่มีสภาพที่เป็นรูปธรรม เช่น สี สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ได้เพียงมี ขณะใดที่ปรากฏ หมายความว่าต้องมีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ เป็นเราหรือเปล่า ธาตุชนิดนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย และทำกิจเห็น ในขณะนี้เป็นเราหรือเปล่า

        นี่คือการที่จะรู้ว่า เห็นเป็นธรรมหรือเป็นเรา

        ผู้ฟัง เห็นเฉยๆ ครับ

        สุ. เห็นเฉยๆ นั่นแหละ เห็นเป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง หรือว่าเป็นเรา สิ่งที่มี ที่เห็น คือ เราเห็น เป็นเราเห็น หรือว่าเป็นธรรม คือ สภาพที่สามารถเห็น

        ผู้ฟัง มีสภาพเห็นครับ

        สุ. ต้องมั่นคงนะคะ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ขณะใดก็ตามที่เห็น ก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง มีจริงๆ แต่เป็นสภาพรู้ จึงสามารถเห็น เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เพราะธาตุชนิดนี้เกิดขึ้นเห็น ไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีปัจจัยให้ธาตุเห็นเกิดขึ้น เห็นไม่ได้เลยค่ะ แต่เมื่อมีปัจจัย เช่น มีจักขุปสาท คือ ตา มีสิ่งที่ปรากฏมากระทบ และมีจิตที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏเป็นสีสันเดี๋ยวนี้ จึงปรากฏได้

        จากชีวิตประจำวันที่ไม่เคยคิด ไม่เคยไตร่ตรอง เพราะว่าเป็นเราเห็นตลอดมา ก็จะได้รู้ว่า ที่แสดงธรรมว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ก็เพราะเหตุว่าเป็นธรรมที่ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาลให้เกิดขึ้น เกิดแล้วที่จะไม่ให้ดับไปก็ไม่ได้ เป็นธรรมจริงๆ ให้เข้าถึงความเป็นธรรมเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือไม่ใช่เราทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งเป็นนามธรรมบ้าง เป็นรูปธรรมบ้าง

        ดีใจ มีไหมคะ ความรู้สึกดีใจ

        ผู้ฟัง มีครับ

        สุ. เกิดเมื่อเราต้องการให้เกิด หรือเกิดเมื่อได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจก็เกิด

        ผู้ฟัง เมื่อเห็นสิ่งที่น่าพอใจครับ เราถึงดีใจ

        สุ. และดีใจหมดไปไหมคะ

        ผู้ฟัง ดีใจแล้วก็หมดครับ ไม่ได้อยู่ทั้งวัน

        สุ. และหมดแล้ว ไปอยู่ที่ไหน

        ผู้ฟัง ก็ไปเกิดที่จิตอื่น

        สุ. ไม่ได้ค่ะ ไม่ใช่ไปเกิดที่จิตอื่น สภาพธรรมใดมีปัจจัยเกิด เกิดแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก ไม่ไปอยู่ที่จิตอื่น ไม่ไปอยู่ที่ไหนเลย นี่คือความหมายของอนัตตา แสดงว่าไม่มีเราจริงๆ แต่มีธรรมซึ่งเกิดดับสืบต่อ จนไม่ปรากฏการเกิดดับ จึงยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะคิดนึก เพราะฉะนั้นกว่าจะหมดการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเราได้ ก็ต้องมีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย แต่ต้องมีความมั่นคง โดยการพิจารณาว่า มีเราจริงๆ หรือว่ามีธรรม แต่เพราะไม่รู้ แม้ว่าเป็นธรรม ก็เข้าใจว่า เป็นเรา

        นี่เป็นความเห็นผิด เพราะฉะนั้นความเห็นผิดก็มีหลายอย่าง แต่เริ่มจากการยึดถือสภาพธรรม เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 325


    หมายเลข 12370
    23 ม.ค. 2567