ความจริงของสภาพธรรมลึกซึ้งกว่าที่คิดมาก


        ประทีป ในขณะนี้มีธรรมอะไรปรากฏบ้าง ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า การที่ธรรมปรากฏ ความเข้าใจในขั้นการฟัง ก็จะต้องรู้ว่า ในขณะนั้นมีธรรมปรากฏ และปรากฏทางหนึ่งทางใดด้วย

        สุ. อันนี้ลองคิดดูนะคะ ถ้าไม่มีโสตปสาท เสียงปรากฏได้ไหม

        ประทีป ไม่ได้ครับ

        สุ. เพราะฉะนั้นเสียงปรากฏทางไหน

        ประทีป ทางหูครับ

        สุ. ปรากฏกับอะไร

        ประทีป ปรากฏกับโสตปสาท หรือจิตได้ยิน

        สุ. ถ้าไม่มีสภาพรู้ คือ จิตได้ยิน เสียงปรากฏไม่ได้เลย ทำไมเวลาที่จิตได้ยิน มีเสียงปรากฏ แต่รูปต่างๆ โต๊ะ เก้าอี้เหล่านี้ไม่ได้ยิน นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความน่าอัศจรรย์ ความเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งถ้าไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมมาเลย ก็จะไม่เห็นว่า เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์ คือ ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ซึ่งเกิด และจะปรากฏได้เฉพาะแต่ละทางด้วย

        ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง อย่าคิดถึงตัวเราว่า เราฟังมาแล้วกี่ปี เดิมเราเข้าใจอย่างนี้ ตอนนี้เราเปลี่ยนไปเข้าใจอย่างนั้น ตัดเราออกหมดเลย กำลังฟังธรรม เวลานี้มีธรรมกำลังปรากฏ ให้ได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

        ประทีป ความเข้าใจในขั้นการฟังของกระผม

        สุ. ของกระผมอีกแล้ว อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่คุณประทีปยังไม่ได้ละความเป็นเราที่ฟังธรรม ความเป็นเราที่สงสัยธรรม ให้เป็นตัวธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งได้ยินได้ฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจว่าจริงหรือเปล่า

        ขณะนี้มีเห็น แต่ยังไม่รู้ลักษณะของเห็น แต่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏทางตา คือ เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ลืม เพราะว่าเราไม่เคยรู้ เพราะฉะนั้นความจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หนาแน่นมาก จนกว่าจะได้ยินบ่อยๆ ทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วสติสัมปชัญญะก็จะเกิด แล้วค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ

        เมื่อก่อนนี้จะเป็นอย่างไร ก็หมดไปแล้วทั้งนั้น

        ประทีป ขออนุญาตเรียนแก้ตัวนิดหนึ่งว่า ทุกครั้งที่กระผมเอ่ยคำว่า กระผม ด้วยความเคารพนอบน้อมบูชาท่านอาจารย์ รู้สึกว่า ถ้ายิ่งพูดแสดงความเคารพมากเท่าไร ก็เป็นการเข้าใจของตัวเองว่า ขณะนี้มีสภาพจิติอย่างไรครับ ทั้งๆ ที่รู้ว่า เสียงนั้นมีจริง

        สุ. ก็คือจะค่อยๆ คลายความเป็นคุณประทีปลงไป ทั้งๆ ที่เสียงมีจริง

        ประทีป แต่ลักษณะของสภาพธรรมนั้นไม่ปรากฏเลย ก็หมดโอกาสที่จะรู้ลักษณะ หรือระลึกลักษณะของธรรมที่ปรากฏ อันนี้เป็นความเข้าใจ ถูกต้องไหมครับ

        สุ. คนที่ฟังธรรม คือ คนที่สะสมมาที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถูกต้องไหมคะ

        ประทีป ถูกต้องครับผม

        สุ. หรือว่าฟังธรรม แต่ไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร อย่างบอกว่า จะฟังธรรม จะปฏิบัติธรรม แต่จะไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ อันนี้จะตรงไหมคะ จะฟังธรรม จะปฏิบัติธรรม แต่จะไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นไหมคะ เพียงเท่านี้ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ว่า การฟังธรรมเพื่อเข้าใจอะไร เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่า จะเข้าใจได้แค่ไหน ละเอียดลึกซึ้ง สามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้ว่า ความจริงไม่เพียงแค่เห็น แล้วก็คิดนึกว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เข้าใจว่า นี่คือความจริงแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ค่ะ ความจริงของสภาพธรรมแต่ละลักษณะในชีวิตประจำวันมากมายกว่านั้นอีก ลึกซึ้งกว่านั้นอีก ซึ่งต้องอาศัยศรัทธา คือ การเห็นประโยชน์ว่า จะรู้ไปทำไม บางคนก็บอกว่า แล้วจะรู้ไปทำไม ก็แค่เห็นสิ่งที่สวยๆ งามๆ ก็ดีแล้วนี่ ได้ยินเสียงที่เพราะๆ ก็ดีแล้ว มีกลิ่นหอมๆ มีรสอร่อยก็ดีแล้ว จะรู้ไปทำไม

        นี่คือผู้ไม่เห็นคุณค่าของการที่ว่า กว่าจะได้ฟังให้เข้าใจ ต้องมีผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง รู้เอง รู้ไม่ได้แน่นอน อย่างไรๆ ใครก็รู้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้สะสมมาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และสิ่งที่มีจริงก็เกินวิสัยที่คนหนึ่งคนใดจะไปเพียงแค่ไตร่ตรอง แล้วก็มีความรู้ตื้นๆ แค่ได้ยินว่า ไม่ใช่เรา เหมือนจบ แต่ความจริงไม่ได้แทงตลอดลักษณะของสภาพธรรม ด้วยปัญญาที่ประจักษ์แจ้งจริงๆ

        เพราะฉะนั้นความรู้จึงต้องละเอียด และมีหลายขั้นตอนด้วยว่า ความรู้ขั้นฟัง ก็คือเป็นผู้ที่กำลังฟัง และเริ่มเข้าใจ ให้ทราบว่า กำลังฟัง และเริ่มเข้าใจ ฟังอะไร ฟังสิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ แล้วคืออะไร และไม่หมดฉันทะที่จะฟังให้เข้าใจต่อไป เพราะเหตุว่าเพียงฟังแค่นี้ แล้วก็ไม่ฟังต่อไป ก็ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏได้

        ด้วยเหตุนี้ถึงจะต้องอดทนฟังมากสักเท่าไร ก็คือว่าเริ่มจะค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งความจริงก็คือว่า เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้น ค่อยๆ พิจารณา ไป เกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งได้ และปัญญาที่สามารถประจักษ์ความจริงนี้มีได้ เพื่ออะไรคะ เพื่อละความไม่รู้ ละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ละการเห็นผิด และจะละอกุศลทั้งหลายได้หมด แต่ถ้ายังไม่รู้อย่างนี้ ละอกุศลใดๆ ไม่ได้เลย และทุกคนก็ไม่ชอบอกุศลของคนอื่น

        นี่ก็เป็นความต่างกัน ซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าไม่มีการฟังที่ทำให้เข้าใจขึ้น ไม่มีทางที่สติสัมปชัญญะเกิด หลงไปทำอย่างอื่น แต่ไม่มีทางรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 304


    หมายเลข 12260
    24 ม.ค. 2567