ฟังและจำ แต่ไม่เข้าใจ


        คุณอุไรวรรณ มีผู้เขียนถามว่า เมื่อวานนี้ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงธรรม และธัมมารมณ์หลายครั้ง เหมือนจะย้ำเตือนให้ท่านผู้ฟังได้คิด พิจารณาจริงๆ จึงเริ่มพิจารณาธรรมที่ตัวเอง ในขณะนี้เอง ตามความเป็นจริง เริ่มรู้สึกว่า ที่คิดว่าเข้าใจนั้น ก็คือยังไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ลักษณะสภาวธรรมในขั้นการฟังนั้นเป็นอย่างไร ขอกราบเรียนท่านอาจารย์กรุณา

        สุ. ค่ะ ชื่อทุกชื่อ หรือคำทุกคำที่มีในพระไตรปิฎก เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมไม่ใช่ฟังเพียงคำ แต่รู้ว่าขณะนี้คำที่ได้ยินหมายถึงสิ่งที่มี และจะค่อยๆ เข้าใจในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าถ้าเราจะผิวเผิน คิดว่าธรรมเป็นคำหนึ่ง ซึ่งเราได้ยิน และเราเข้าใจแล้วโดยตลอด แต่นั่นคือ ไม่ได้รู้ว่า ธรรมคืออะไร และอยู่ที่ไหน เข้าใจเพียงคำแปลเท่านั้นเองว่า ขณะนี้มีสภาพธรรม แล้วก็ใช้คำว่า “ธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีในขณะนี้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจที่ตรงกว่านั้นอีก คือว่า ขณะนี้มีอะไร ขณะนี้มีอะไรไหมคะ หรือไม่มีอะไรเลย

        นี่ต้องมีความคิด การไตร่ตรอง เพื่อเป็นปัญญาของตนเอง ที่จะเข้าใจคำที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นขณะนี้มีอะไร หรือไม่มีอะไรเลย มี มีอะไรคะ มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ตอบได้ แน่ใจไหมคะว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา มีจริงๆ มีแน่นอน เพราะว่ากำลังปรากฏ รู้ไหมว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง นี่มาเกี่ยวข้องกับคำว่า “ธรรม” แล้ว ที่ได้ยินว่า ทุกอย่างเป็นธรรม คือ เป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นแม้สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ก็ยังต้องอาศัยการฟัง ต้องฟังเรื่องนี้ไปตลอด จนกระทั่งถึงกัปป์ทำลายก็ตามแต่ ก็คือว่าไม่พ้นจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระธรรมที่ทรงแสดงจะเกินกว่านี้ได้ไหม ในเมื่อสิ่งที่จะปรากฏได้ สามารถจะปรากฏได้เพียง ๖ ทาง มีทาง ๖ ทาง ที่สามารถทำให้สิ่งที่มีจริงๆ ปรากฏ เช่น สิ่งที่เป็นแสงสว่าง เป็นสีสันต่างๆ ขณะนี้ ปรากฏทางตา สิ่งนี้มีจริง ปรากฏเมื่อมีจักขุปสาท นี่คือการฟังเรื่องของสภาพธรรมจนกว่าจะไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม ไม่ต้องไปเห็นอะไรทั้งหมดว่าจะให้เกิดดับ แต่ต้องฟังก่อน ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่มั่นคงจริงๆ ที่แม้ฟังอย่างนี้ ความเข้าใจเรื่องสภาพธรรมที่กำลังมี ก็ยังน้อยมาก ยังไม่พอ จนกว่าจะฟังแล้วค่อยๆ ไตร่ตรอง ในขณะที่กำลังฟังนี่เอง มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จริง สิ่งนี้เป็นธรรม ไม่ใช่เราไปจำคำที่เขาบอกมาว่า ทุกอย่างเป็นธรรม อะไรๆ ก็เป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นธรรม นั่นคือฟัง และจำ แต่ไม่ใช่ความเข้าใจ ถ้าเป็นความเข้าใจ คือ ขณะนี้มีสิ่งนั้นจริงๆ กำลังปรากฏ และสิ่งนี้สามารถจะกระทบกับจักขุปสาทเท่านั้น ถ้าไม่มีจักขุปสาทเมื่อไร ขณะไหน และไม่มีจิตเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาขณะนี้ จะปรากฏไม่ได้เลย และเราก็เห็นมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ก็คงแค่ปรากฏ แต่ที่ไม่รู้ก็คือว่า เมื่อปรากฏแล้วหมดไป แต่การหมดไป สืบต่อเร็วมาก จนไม่มีใครสามารถจะรู้ ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะทรงรู้หนทางที่จะทำให้ประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมได้ ก็จะไม่มีใครรู้เลย จะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติ สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ปรากฏเสมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ไม่ดับไปเลย แต่สิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ นี่คือความหมายของคำว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา” ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย บางคนคิดว่า เพราะเขาอยากเห็น เขาจึงเห็น เขาจงใจจะเห็น เขาก็เห็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น จะเข้าใจอรรถที่ว่า “สักกายทิฏฐิ” มี ๒๐ ไหม คือ ยึดถือสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดว่า เป็นตน และสิ่งอื่นนอกจากนั้นก็เป็นสิ่งที่ตนมี หรือว่ามีอยู่ในตน เป็นต้น

        เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมขึ้น เวลาที่พบพยัญชนะ เรื่องสักกายทิฏฐิ ก็รู้ได้เลยว่า ยังมีอยู่มากน้อยแค่ไหน

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การฟังธรรมกับการเข้าใจธรรม ก็คือ ฟังเรื่องราว คือ ชื่อ แต่เข้าใจตัวจริงๆ ของธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ เมื่อได้เข้าใจคำต่างๆ ที่กล่าวถึงสภาพธรรมนั้นแล้ว

        เพราะฉะนั้นการฟังให้เข้าใจ จึงต้องรู้ว่า ฟังธรรม ศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจว่า สิ่งที่มีทั้งหมด เป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล

        คุณอุไรวรรณ จะรู้สึกว่ายากนะคะ เพราะว่าพอฟังแล้วก็จะไปติดที่เรื่องราว ไปติดที่ชื่อ และบางคนก็จะบอกว่า จำชื่อเยอะๆ ได้ และเก่ง และเอาชื่อเยอะๆ มาคุยกัน แต่ไม่เข้าใจสภาพธรรม

        สุ. เพราะฉะนั้นก็ฟังใหม่ ฟังใหม่ ศึกษาใหม่ ในครั้งพุทธกาล ไม่มีตัวหนังสือ ที่จะมานั่งกางตำรา แล้วก็เปิดหน้านั้นหน้านี้ แต่จากการฟัง รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนั้น ซึ่งก็เหมือนขณะนี้ จักขุวิญญาณ สภาพเห็นครั้งโน้น จะเกิดที่ไหน เมื่อไร กับใคร ก็ไม่ต่างกับจักขุวิญญาณเดี๋ยวนี้

        เพราะฉะนั้นฟังธรรมให้เข้าใจธรรม ไม่ใช่ฟังให้มาคิดถึงตัวเรา เรามีอย่างนั้น เรามีอย่างนี้ ก็ยังคงเป็นเราอยู่ แต่เมื่อฟังแล้วรู้ว่าเป็นสภาพธรรมมากเท่าไร ความเป็นเราก็หายไป ค่อยๆ จางลง จนกว่าจะดับหมดเป็นสมุจเฉท

        ด้วยเหตุนี้จึงต้องเริ่มจากการฟังธรรม คือรู้ว่า ธรรมคืออะไร กำลังมีสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ฟังให้เข้าใจสิ่งนี้จนกว่าจะมั่นคงว่า เป็นธรรมเท่านั้น เมื่อฟังแล้วที่ไหน ก็สามารถจะเข้าใจได้ว่า ทรงแสดงเรื่องความจริงของสิ่งที่สามารถปรากฏให้เข้าใจได้ ไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 293


    หมายเลข 12210
    27 ม.ค. 2567