นามธรรมรับรู้รูปต่อจากทางปัญจทวารคืออย่างไร


        ผู้ฟัง แต่ดิฉันก็ยังยืนยันอยู่ที่ว่า สภาพที่เป็นโสมนัสเวทนา มันชุ่มชื่นหัวใจ กับความสุขกาย ดิฉันรู้เลยว่า ต่างกัน ลักษณะอย่างนี้ใช่ไหมที่เราจะค่อยๆ ไปรู้ลักษณะแต่ละอย่างที่มีความต่างกันของสภาพธรรม

        สุ. โลภะต่างกับโทสะไหมคะ ดีใจต่างกับเสียใจไหม เวลาเจ็บกับเวลาไม่เจ็บ เป็นทุกข์ใจ เหมือนกัน หรือเปล่า ก็เป็นสภาพธรรมในชีวิตประจำวันทั้งหมด แต่ไม่รู้ว่า เป็นธรรม ฟังเรื่องไหน ก็จริงเรื่องนั้นทั้งนั้น เพราะว่าโลกนี้จะปราศจากธรรมไม่ได้ โลก คือ ธรรมที่เกิดขึ้น มีปัจจัยปรุงแต่งปรากฏแต่ละทาง เมื่อไม่รู้ก็สืบต่อกันเร็ว จนปรากฏเป็นโลกที่เที่ยง

        เพราะฉะนั้นการฟังเพื่อให้รู้ความจริง แล้วก็เข้าใจขึ้นๆ

        ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า มโนทวารที่เกิดต่อจากปัญจทวาร มีสภาพเหมือนทางปัญจทวารเลย ดิฉันก็สงสัยว่า ที่จริงแล้วรูปก็ดับไปแล้วตรงวิถีจิตทางปัญจทวาร แต่มโนทวารวิถีแรก เขาจะรู้ได้เหมือนอย่างไร

        สุ. มโนทวารที่เกิดต่อจากปัญจทวารจะให้เขาไปคิดอะไร ในเมื่อสิ่งนั้นเพิ่งดับไป เพราะฉะนั้นเขาก็คิดตามสิ่งที่ปรากฏ มีอารมณ์เดียวกันเลย เวลาที่คุณบุษบงรำไพฝัน ฝันถึงคนหนึ่งคนใด เหมือนเห็นคนนั้นจริงๆ หรือเปล่า แล้วเห็น หรือเปล่า นั่นยังห่างไกลกันมากเลย ยังจำได้ แต่สัญญาที่จำสิ่งที่ปรากฏทางตาเพิ่งดับไป เป็นปัจจัยให้แม้ภวังค์เกิดสืบต่อ สัญญาที่จำสิ่งที่ดับไปนั้น ก็เป็นปัจจัยให้มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้น รู้ หรือจำอารมณ์นั้นแหละ ไม่ใช่อารมณ์อื่นซึ่งเพิ่งดับไป

        นี่เป็นเรื่องของสภาพธรรมซึ่งจะสังเกตได้ว่า ใครรู้อย่างนี้ได้ เพราะเหตุว่าแม้ขณะที่เหมือนเห็นกับได้ยินพร้อมกัน แต่โดยการศึกษาทราบว่า ไม่ได้พร้อมกันเลย ห่างกันมาก และประโยชน์อะไรที่เราจะฟังแล้วฟังอีกเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ อายุสั้นมาก เพียงแค่มีอายุ ๑๗ ขณะจิตก็ดับแล้ว

        เพราะฉะนั้นทรงแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความเล็กน้อยของสภาพธรรมแต่ละลักษณะซึ่งจริงๆ แล้วเกิดดับ แต่เมื่อปรากฏสืบต่ออย่างเร็ว อวิชชาไม่สามารถประจักษ์ หรือเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับแต่ละลักษณะได้ แต่ประโยชน์ของการฟัง ลองคิดดู จะทำให้ปรุงแต่งน้อมไปสู่การที่จะเห็นความเป็นอนัตตา เพื่อจะละความเป็นอัตตาได้ไหม แม้ในขั้นของการฟังบ่อยๆ เช่นขณะนี้รู้ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏกับจักขุทวารวิถีจิต คือ สิ่งที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตาสืบต่อกันในระหว่างที่สิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ แต่เมื่อสิ่งที่ปรากฏทางตาดับ จิตจะเห็น หรือจิตจะรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อไปอีกไม่ได้

        เพราะฉะนั้นขณะนั้นอะไรเกิดต่อคะ สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว จิตต้องเกิดต่อตลอดเวลาไม่ขาดระยะเลย เพราะฉะนั้นจิตอะไรเกิดต่อ

        ผู้ฟัง ภวังค์ค่ะ

        สุ. ภวังคจิต ถ้าพิจารณาจริงๆ เห็นความเป็นอนัตตา ความไม่มีสาระไหมคะ ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรปรากฏขณะที่เป็นภวังคจิต เช่น ตอนที่นอนหลับสนิท ไม่มีอะไรปรากฏเลย โลกทั้งโลก หรือแม้แต่ญาติพี่น้องวงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ ไม่มีเลย ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย

        เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่ปรากฏทางตาดับ แล้วภวังคจิตคั่น ขณะที่เป็นภวังคจิตไม่มีอะไรเหลือ เพราะฉะนั้นทรงแสดงให้เห็นความเป็นอนัตตาว่า แต่ละลักษณะที่ปรากฏเพราะเกิดแล้วดับ เมื่อดับแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลยสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นก็เป็นความว่างเปล่า แต่ละวาระของจิตที่เกิดขึ้น เพียงเป็นภวังค์ เกิดขึ้นรู้อารมณ์แล้วก็เป็นภวังค์ แล้วเกิดขึ้นรู้อารมณ์ แล้วก็เป็นภวังค์ แล้วก็เกิดขึ้นรู้อารมณ์ แล้วก็เป็นภวังค์ ก็คือมีการเห็นแล้วก็ว่างเปล่า มีการได้ยินแล้วก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเหลือ มีการคิดนึกแล้วก็ว่างเปล่า แล้วมีอะไร นอกจากชีวิตก็เป็นไปอย่างนี้ใน สังสารวัฏฏ์

        เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ฟังแล้วฟังอีก เพื่อประโยชน์ให้สภาพธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ เป็นสังขารธรรมที่จะน้อมไปสู่การเข้าใจถูก เห็นถูกว่า ธรรมเป็นธรรม เป็นอนัตตา เพื่อจะได้ไม่ติดข้อง กว่าจะเข้าใจ กว่าจะปรุงแต่ง กว่าจะค่อยๆ เห็นว่าเป็นความจริง กว่าจะค่อยๆ ฟังต่อไปให้เข้าใจสิ่งที่เป็นความจริงอย่างนี้ ไม่ฟังอื่น ไม่เข้าใจผิดว่าจะต้องไปทำอย่างอื่น แต่ว่าเพิ่มความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏ

        ส่วนใหญ่ยุคนี้ไม่เห็นประโยชน์ของปัญญา ฟังแล้วก็อยากจะรู้ “อยาก” ไม่ใช่ปัญญา ไม่มีทางเป็นปัญญาได้เลย แต่ความรู้ความเข้าใจต่างหากที่สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ และความรู้ความเข้าใจมาจากไหน ถ้าไม่มีการค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากการฟังไปเรื่อยๆ

        เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ถ้าขาดปัญญา อย่าหาหนทางอื่นที่คิดว่าจะทำให้ดับกิเลสได้ เป็นไปไม่ได้เลย

        ผู้ฟัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ ที่กรุณายกตัวอย่างว่า ขณะที่ฝันถึงใครก็แล้วแต่ ซึ่งก็อาจจะนานมาแล้วก็ได้ ที่เรานึกถึง เรายังนึกเหมือนกับเห็น แต่ขณะที่มโนทวารเกิดต่อจากปัญจทวาร นั่นมันใกล้เสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้นความจำก็เป็นไปได้อย่างชัดเจน

        สุ. ซึ่งแยกไม่ออกเลย ใช่ไหมคะ ขณะนี้จากการศึกษาทราบว่า ไม่ว่าวาระจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดในทวาร ๕ ภวังคจิตคั่น มโนทวารต้องรู้อารมณ์นั้นต่อทันที เป็นอารมณ์เดียวกัน ซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนั้น หรือเปล่า เห็นก็เหมือนอย่างเดิม ทั้งๆ ที่มีภวังค์คั่น แล้วก็มีมโนทวารวิถีจิตคั่นด้วย แต่ก็ยังปรากฏเหมือนสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ยังคงปรากฏ แล้วก็มีจักขุวิญญาณที่เห็นอยู่ตลอด นี่คือความไม่รู้ความจริงค่ะ

        ผู้ฟัง กราบอนุญาตพูดต่อไปถึงว่า เพราะเป็นลักษณะเช่นนี้ใช่ไหม วิปัสสนาญาณเกิด ถึงได้เกิดทางมโนทวาร และรู้สภาพรูปตรงนั้น คืออย่างนี้เอง

        สุ. ค่ะ นามธรรมไม่ปรากฏทางปัญจทวาร เพราะฉะนั้นถ้าเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของจิต หรือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ต้องรู้ทางมโนทวาร และขณะนั้นก็มีรูปปรากฏให้รู้ด้วย เพราะเหตุว่านามธรรมรับรู้รูปต่อจากทางปัญจทวาร

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 274


    หมายเลข 12092
    23 ม.ค. 2567