บวชทำลายพระศาสนา


    การบวชด้วยความไม่เข้าใจพระธรรมวินัย และประพฤติผิดต่างๆ เป็นการ ทำลายพระศาสนาอย่างมาก ดังนั้นชาวพุทธ ควรศึกษาพระธรรมวินัยให้ เข้าใจ และช่วยกันเพ่งโทษ คือแสดงให้รู้ว่าอะไรเป็นโทษ เมื่อมีการทำ ผิดพระวินัย จึงจะเป็นการรักษาพระศาสนา ไม่ใช่สนับสนุนให้ไปบวชกัน มากๆ ด้วยความไม่รู้


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นการดี ที่กล่าวถึงพระภิกษุในยุคนี้ สมัยนี้ ว่าไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย และไม่ได้ศึกษาธรรมด้วย เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีใครกล่าวถึงเลย ก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีกนาน แต่ถ้ากล่าวถึง อุบาสก อุบาสิกา พุทธบริษัทเพ่งโทษ สิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ควรให้ทุกคนได้รู้ว่านี่ผิด เพราะเวลานี้ บวชเพราะอยากบวช ก็ผิด เพราะว่าไม่ได้บวช เพราะเห็นประโยชน์จริงๆ ว่าจะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพื่อขัดเกลากิเลส แต่นี้ไม่มีจุดประสงค์ ไม่มีความมุ่งหมายอย่างนั้นเลย เพราะฉะนั้นบวชทำไม ไม่ว่าจะเป็นเณรหรือเป็นพระ คำตอบหลังจากที่บวชแล้ว ก็คือว่าอาหารอร่อย เงินก็ได้ นี่ไม่ใช่จุดประสงค์เลย

    อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์ ตลาดนัดที่ดิฉันกล่าว เป็นตลาดนัด มีอาหารด้วยแล้วเขาก็ขายถึงหนึ่งทุ่ม คนเลิกหนึ่งทุ่ม เสาร์อาทิตย์ติดกับกุฏิพระด้วย กลิ่นอาหารก็ดี คนมาในบริเวณนั้นก็ดี ผู้หญิงก็เยอะ เพราะว่ามาช็อปปิ้งซื้อเสื้อผ้า แล้วทานอาหาร ไม่เหมาะสมเลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกเรื่องที่จะได้ฟัง คือเพ่งโทษ ให้ผู้ที่ไม่รู้ ได้รู้ว่านี่เป็นความผิด ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่เข้าใจว่าเป็นชาวพุทธมากมาย แต่ว่าไม่เข้าใจธรรมเลย จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป เพราะเหตุว่าไม่มีใครกล่าวถึงโทษ เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตาม ที่เกิดขึ้นเป็นไป ควรจะได้รู้ทั่วกัน เพ่งโทษ และติเตียน แล้วโพนทะนา เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เรากำลังโพนทะนา เพื่อที่จะให้รู้ว่า สิ่งใดไม่สมควรแก่บรรพชิต เริ่มตั้งแต่การบวช ไม่รู้จักเลยว่าบวช เพื่อจะที่จะศึกษาธรรม เพราะไม่เคยเข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นก็ชักชวนกันทำสิ่งที่ทำลายพระศาสนา เพราะว่าบวชไปโดยไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเลย แล้วบวชทำไม ถ้าบวชอย่างนี้คือว่าไม่มีประโยชน์ จะมีผู้ที่บวชอย่างนี้สักหมื่นรูป แสนรูป ก็ไม่มีประโยชน์ต่อพระศาสนา เพราะเหตุว่าผู้นั้นไม่ได้เข้าใจธรรมวินัยเลย นี่เป็นโทษ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ถ้าใครนิยมที่จะให้ใครบวช ใครอยากให้ใครบวช ชักชวน เชิญชวนให้ใครบวช รู้ไหมว่าบวชแล้วทำอะไร ถ้าบวชแล้วทำสิ่งที่ไม่ดี จะชักชวนกันให้บวชไหม แล้วเป็นความจริงที่ว่า บวชแล้วทำสิ่งที่ไม่ดีทั้งนั้น ทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มไตร่ตรอง คิดเสีย พิจารณาเสีย ว่าถ้าไม่ใช่การบวชเพราะได้เข้าใจธรรมก่อน แล้วรู้อัธยาศัยของตนเองตามความเป็นจริง การบวชเป็นการทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง เป็นศาสนาที่ขัดเกลากิเลส เป็นศาสนาที่มีความเคารพในความจริง ในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นถึงไม่บวช แต่ศึกษาเข้าใจแล้ว ก็จะไม่มีการชักชวนให้ใครบวช ถ้าเขาไม่ได้เข้าใจธรรม แล้วไม่รู้อัธยาศัยของตนเอง เพราะฉะนั้นบวชโดยที่ว่า ยังมีทรัพย์สิน กลับมาแล้วก็จะเป็นเจ้าของทรัพย์สิน นั่นไม่ใช่การบวช ไม่ใช่การละ

    เพราะฉะนั้นต้องเริ่มต้น ตั้งแต่การบวชทีเดียวว่า คนที่จะบวช บวชเพื่อทำลายพระศาสนา หรือเพื่อที่จะทนุบำรุงพระศาสนา เพราะฉะนั้นจะชักชวนใครให้บวชไหม เพราะรู้ว่าเป็นของปลอม ไม่ได้สละจริงๆ แล้วทำว่าสละ เพราะฉะนั้นอย่างนี้จะเป็นผู้ตรงไหม แล้วจะเป็นประโยชน์อะไรต่อตนเอง แม้ตนเองก็มีโทษ ที่เป็นผู้ที่ไม่จริงใจในการที่จะบวช เพราะว่าไม่เห็นอันตรายจากการที่ อาศัยข้าวของชาวบ้าน แล้วก็ประพฤติไม่สมควร คือเขาให้อาหารเพื่อเลี้ยงชีวิต เพื่อที่จะได้ศึกษาธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพราะฉะนั้นถ้าผู้ใดบวช ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ประพฤติตามธรรมวินัย ผู้นั้นก็ทำอันตรายต่อศรัทธาของชาวบ้าน แล้วก็เป็นโทษกับตนเองด้วย

    อ.กุลวิไล ที่บอกว่าอุบาสก อุบาสิกา เพ่งโทษ ในที่นี้ก็คือ ชี้ให้เห็นโทษ แต่ไม่ได้ว่า

    ท่านอาจารย์ เพ่งก็คือให้รู้ว่าเป็นโทษ เพราะไม่รู้กัน เมื่อไม่รู้กัน ก็ต้องให้รู้กัน เพ่งโทษคือให้รู้ว่า นี่โทษ โทษเป็นอย่างนี้

    อ.อรรณพ เพ่งที่ความเป็นโทษว่าอย่างนี้ เป็นต้น

    ท่านอาจารย์ ให้รู้ว่านี่คือโทษ ไม่มีคำว่า ว่า แต่มีคำว่า เพ่งโทษ ให้รู้ว่าอะไรเป็นโทษ เพราะฉะนั้นต้องฟังให้เข้าใจคำที่ได้ยินด้วย

    อ.กุลวิไล และติเตียน

    ท่านอาจารย์ ทำสิ่งที่ไม่ดี และสมควรส่งเสริมไหม เพราะฉะนั้นก็ต้องติเตียนว่า ทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่สมควรที่จะทำ เพราะว่าเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา บวชเพื่ออาหารอร่อย อย่างนั้นบวชทำไม บวชเพื่อว่ามีเงินเพราะว่าเวลาที่ใครใส่บาตร ก็ใส่เงินลงไปด้วย นี่คือไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย นี่คือเพ่งว่า นี่คือโทษของการบวช ผู้บวชคือผู้สละเพศคฤหัสถ์ ซึ่งมีเรื่องเกี่ยวกับเงินทอง ธุรกิจต่างๆ ที่จะต้องกระทำ ที่ต้องใช้เงินทองทั้งนั้น แต่เมื่อจะอยู่ในเพศที่สงบจากชีวิตของคฤหัสถ์ ก็ต้องสละ รู้จักคำว่า สละ ไหม ถ้าไม่รู้จักจะบวชได้ไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่ แต่ละคำต้องรู้ว่าสละคืออะไร สละคือทิ้งไปเลย ไม่สนใจเลย ไม่กลับมารับอีกเลย เพราะฉะนั้นภิกษุใดก็ตามรับเงิน และทอง ภิกษุนั้นไม่ใช่ภิกษุ เพราะว่าคฤหัสถ์ต่างหาก ที่มีเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน และทอง แต่ภิกษุ และสามเณรทั้งหมด ไม่รับ และไม่ยินดีในเงิน และทองด้วย จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตามแต่ บางคน บางวัด มีคูปองแทนใบปวารณา

    อ.อรรณพ ใช่

    ท่านอาจารย์ แล้วอย่างนี้ ยินดีในเงิน และทองหรือเปล่า ไม่รับ แต่ยินดีไหม แทนที่จะเป็นใบปวารณา ก็เป็นคูปอง

    อ.อรรณพ การรับเงิน และทอง โดยความหมายก็คือ การรับทรัพย์สิน เงินทอง ทุกอย่างนั่นแหละ อะไรที่เกี่ยวเนื่องกับการที่เป็นทรัพย์สิน

    ท่านอาจารย์ ที่ดิน บ้านช่อง เรือกสวน ไร่นา ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ใช่ของบรรพชิต ไม่ใช่ของผู้สละ ทั้งหมดเริ่มต้นจากรู้ว่า ภิกษุคือใคร การที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต เพื่ออะไร ถ้าไม่เป็นการเพื่อที่จะขัดเกลากิเลส โดยศึกษาพระธรรม และประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ไม่ใช่พระภิกษุแน่นอน เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ควรที่จะได้รู้ด้วยว่า ใครก็ตามเป็นภิกษุ ใครก็ตามไม่เป็นภิกษุ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุ ทำลายพระศาสนา

    ผู้ฟัง มีเพื่อนของหลาน เขาจะบวช ดิฉันก็ถามว่า จะบวชเพื่ออะไร เขาบอกบวชเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่

    ท่านอาจารย์ เป็นคฤหัสถ์แทนคุณพ่อแม่ได้ไหม แล้วการไปบวช เป็นพระภิกษุที่เลว แทนคุณพ่อแม่หรือเปล่า อลัชชี ผู้ไม่ละอาย เพราะฉะนั้นให้ลูกไปเป็นผู้ไม่ละอายหรือ หรือลูกนั้นจะแทนคุณพ่อแม่ โดยการกระทำที่ไม่ละอายต่อพระศาสดา แล้วก็เป็นคฤหัสถ์ แทนคุณพ่อแม่ได้มากกว่าพระภิกษุ เพราะว่าพระภิกษุไม่มีพ่อแม่อีกต่อไป เมื่อบวชแล้ว สละวงศาคณาญาติ มารดาบิดา จะมีการรักษาพยาบาลเหมือนอย่างที่เป็นคฤหัสถ์ก็ไม่ได้ แต่ว่าถ้าเป็นคฤหัสถ์ มารดาบิดาป่วยไข้ ก็ยังดูแลรักษาได้เต็มที่


    หมายเลข 10876
    22 เม.ย. 2567