001 เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ตามพระธรรมวินัย


    เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ตามพระธรรมวินัย

    ตอนที่ ๑


    ผู้ฟัง ถ้าเราจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องพระวินัยของพระสงฆ์ในฐานะฆราวาสสมควรหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ สมควรอย่างยิ่ง

    ผู้ฟัง ไม่เป็นการลบหลู่ท่านใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ การศึกษาพระธรรมวินัยไม่ใช่การลบหลู่ ถ้าไม่ศึกษา ไม่เข้าใจ ลบหลู่หรือเปล่า เพราะไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมี เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้วก็มีผู้ที่มีศรัทธารู้อัธยาศัยว่า สมควรที่จะดำเนินตามรอยพระบาทคือพระบรมศาสดา เป็นบุตรที่เกิดจากอุระ คือทรงประทานให้ได้เป็นภิกษุ เพื่อที่จะประพฤติตามพระองค์ เพื่อขัดเกลากิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นธรรมวินัยทั้งหมด เมื่อเปิดเผยแล้ว ยิ่งเปิดเผยยิ่งรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยและพระธรรม แต่ถ้าปกปิดไว้ไม่มีใครรู้ถึงพระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ที่บัญญัติพระวินัยด้วยพระองค์เอง ต้องด้วยพระมหากรุณา และด้วยพระปัญญา ที่จะอนุเคราะห์ให้ผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะขัดเกลากิเลส และจะประพฤติตาม ต้องประพฤติตามอย่างบริสุทธิ์ยิ่งเช่นเดียวกับพระองค์

    ผู้ฟัง ถ้าเช่นนั้นเนื่องจากความรู้ก็ไม่มากพอ ขอรบกวนเริ่มจากว่า วินัยที่ของพระภิกษุนี่คืออะไร ทำไมไม่มีวินัยของคฤหัสถ์

    อ. อรรณพ วินัย ก็คือ การนำออก นำออกจากอะไร นำออกจากกิเลสอกุศล ถ้าจะพูดถึงวินัยที่เป็นสิขาบทของบรรพชิต ก็มีความละเอียดมากก็คือศีล ๒๒๗ ข้อของภิกษุ ส่วนคฤหัสถ์ก็มีวินัยของคฤหัสถ์ ศีลที่เป็นเบื้องต้นด้วย คฤหัสถ์ไม่ใช่บรรพชิต ชีวิตต่างกัน เพศต่างกัน วินัยต่างระดับกัน อย่างเป็นเพศคฤหัสถ์ ไปหาซื้อของอร่อยทาน ผิดวินัยไหม ไม่ผิด ทำมาหากินได้รับเงินเดือน ผิดไหม ได้เงินมาไปเข้าร้านทองไปซื้อทองผิดไหม ไม่ผิด ไม่ใช่เป็นการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จหักประโยชน์ เป็นต้น แล้วก็ไม่ล่วงอกุศลกรรมบถ ๑๐ ก็คือการประพฤติทุจริตทางกาย วาจา แล้วก็ความเห็นผิด ความที่มีการผูกอาฆาตแล้วก็ทำผิดลงไป หรือความโลภมากเกินเหตุแล้วความโลภนั้นก็ทำให้ ประพฤติผิดจนได้ เพราะฉะนั้นก็คือกายกรรม ๓ ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม เว้น นี่คือวินัย วาจาพูดเท็จ ไม่ตรง พูดส่อเสียดให้คนเขาแตกกัน พูดคำหยาบให้ความเสียหาย พูดเพ้อเจ้อประกอบการหลอกลวงเขาให้เขาเสียประโยชน์ กายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ แล้วก็มโนกรรมอีก ๓ ก็คือ ความเห็นผิด แล้วก็ไปแนะนำให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดทำผิดไปก็เป็นโทษมาก พยาปาท ความผูกพยาบาท ที่มีกำลังแล้วก็ทำให้ล่วงการฆ่าสัตว์ ก็เพิ่มเติมเข้าไปอีก ความโลภอภิชฌาที่มีความเพ่งอยากได้ วางแผนแล้วก็ขโมย นี่คือวินัยของคฤหัสถ์

    ท่านอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และเข้าใจจริงๆ เมื่อเข้าใจว่าวินัยคือการนำกิเลสออก แสดงว่าทุกคนก็รู้ว่ากิเลสไม่ดี ควรที่จะนำออกไปทิ้งเสียให้หมด จะเก็บสิ่งที่ไม่ดีไว้ทำไม แต่อะไรจะนำออกไปได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มีคนบอกให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ แล้วกิเลสจะหมด คนนั้นไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน แต่ต้องเป็นผู้ที่แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกระทั่งบุคคลที่ได้ฟังแล้ว มีความเห็นถูกเข้าใจถูกว่า ขณะใดที่ไม่รู้ ขณะนั้นเป็นอกุศลสิ่งที่ไม่ดี แต่ขณะใดที่เริ่มรู้เริ่มเข้าใจ ก็เห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดี และเห็นคุณของสิ่งที่ดี

    เพราะฉะนั้นการที่จะนำออกหรือวินัย ต้องมีความเข้าใจธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะนำกิเลสออกไปได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ในครั้งพุทธกาลหรือสมัยต่อมาก็ตามแต่ เห็นประโยชน์ของการที่จะนำกิเลสออก แม้แต่ที่กำลังฟังธรรมเดี๋ยวนี้ ก็เพื่อนำความไม่รู้ออก และจะให้ใครนำความไม่รู้ออกไปได้ ในเมื่อใครๆ ก็ไม่รู้ทั้งนั้น เว้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี รู้แล้ว ตรัสรู้ ไม่ใช่เพียงแต่คิดพิจารณาไตร่ตรอง แต่ประจักษ์แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ สิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏ สิ่งนั้นมีจริงแน่นอน

    เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทรงตรัสรู้ความจริงแล้วเห็นว่า คนอื่นไม่สามารถที่จะรู้อย่างนี้ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงแสดงพระธรรมให้ผู้ที่เข้าใจพระธรรมแล้ว รู้จักตนเองที่จะนำกิเลสออกตามความเป็นจริงว่า จะขัดเกลาโดยการที่ฟังพระธรรมเข้าใจขึ้น นำกิเลสคือความไม่รู้ออกไป โดยฐานะที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง เหมือนพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเพศบรรพชิต คือสละอาคารบ้านเรือน สละทุกอย่าง มารดาบิดาครอบครัววงศาคณาญาติความสนุกสนานความรื่นเริงทุกอย่างที่เป็นทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด ไม่ใช่กิจของบรรพชิตอีกต่อไป เพราะว่ากิจของบรรพชิตซึ่งสละแล้วก็มีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นกิจของบรรพชิตคือศึกษาพระธรรม นำออกซึ่งกิเลส ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่า เพศบรรพชิตจะต้องประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลสทางกายทางวาจาอย่างไร ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะบัญญัติพระวินัยได้เลย แม้แต่ท่านพระสารีบุตรคือใครก็ตามแต่

    เพราะฉะนั้นเมื่อได้ยินว่า พระวินัยทุกข้อ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติโดยการที่เมื่อมีผู้ที่ยังมีกิเลสแม้ว่าบวชแล้ว เพราะกิเลสก็ทำให้ประพฤติผิด จึงมีการประชุมสงฆ์ เพื่อจะให้ทุกคนได้รับทราบว่า การประพฤติอย่างนี้สมควรไหมกับเพศบรรพชิต เมื่อไม่สมควร ทุกคนเห็นด้วย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ เพราะว่าถ้ามีคนไม่เห็นด้วย ก็แสดงว่าเขายังไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สิ่งนี้แหละเหมาะสำหรับเพศบรรพชิต ที่จะต้องประพฤติปฏิบัติตาม เป็นหนทางที่จะทำให้ละกิเลส จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ฟังธรรม สามารถเป็นพระโสดาบันได้ พระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล ยังเป็นคฤหัสถ์ได้ แต่เมื่อไหร่บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดแล้ว จะไม่สามารถดำรงอยู่ในเพศคฤหัสถ์อีกต่อไปได้

    เพราะฉะนั้นบรรพชิตทุกรูป รู้ตนเองว่า จุดประสงค์ของการบวช ไม่ใช่เพียงเพื่อที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นเพียงพระโสดาบัน หรือว่าพระสกทาคามีบุคคล พระอนาคามีบุคคล เพราะว่ากิเลสต้องหมดสิ้นไป ดับสิ้นไปตามลำดับขั้น กิเลสมีมากมหาศาลในแสนโกฏกัปที่สะสมมา จะหมดสิ้นไปทันทีไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เข้าใจความจริง ก็สามารถที่จะรู้จักตนเองว่า จะศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลส นำกิเลสออกโดยเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ต้องเป็นผู้ที่ตรง เพราะฉะนั้นผู้ที่สละอาคารบ้านเรือนแล้ว มีความเคารพในพระบรมศาสดาจึงสละอาคารบ้านเรือนเพื่อดำเนินรอยตามที่พระผู้มีพระภาคทรงสละ

    เพราะฉะนั้นภิกษุทุกรูปต้องเคารพ ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย เพราะใครบัญญัติ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะไม่ประพฤติตามที่พระองค์ทรงบัญญัติหรือ นี้เป็นข้อที่ภิกษุทุกรูปต้องรู้จุดประสงค์ว่า บวชเพื่ออะไร ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรมขั้นพระโสดาบัน แต่ก็เพื่อดับกิเลสหมดถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งจะต้องขัดเกลากิเลสทั้งกายวาจาในเพศของบรรพชิต ต้องเป็นผู้ตรง เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ซึ่งได้สละแล้วก่อนที่จะบวช และเมื่อบวชแล้วก็เป็นผู้ที่สละ เพราะฉะนั้นจะกลับมาเป็นชีวิตอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น บรรพชิตจะไม่ทำกิจของคฤหัสถ์ เพราะละความเป็นคฤหัสถ์แล้ว

    เพราะฉะนั้นบรรพชิตก็มีหน้าที่ที่จะศึกษาพระธรรม และก็อบรมเจริญปัญญาในเพศของบรรพชิต คือรักษาประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ซึ่งละเอียดมาก แสดงให้เห็นว่า นี่เป็นการขัดเกลาจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าใครยังมีกิเลส และก็ประพฤติผิดจากพระธรรมวินัย ต้องสำนึกตน และก็ต้องแสดงโทษ การประพฤติผิดจากธรรมวินัยเป็นโทษคืออาปัติติ หมายความว่าได้ล่วงสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว เพราะฉะนั้นจะกลับเป็นภิกษุอีกได้ไหมเมื่อล่วงแล้ว แต่ว่าพระองค์ทรงเห็นว่า ตราบใดที่ยังมีกิเลสอยู่ การบวชเป็นบรรพชิตยาก เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นโทษผิดเพียงเล็กน้อยไม่ถึงขั้นโทษหนัก และผู้นั้นสำนึก ก็สามารถที่จะปลงอาบัติ หมายความว่าแสดงโทษ สำนึกผิด แล้วก็ให้ภิกษุใดรู้ เพื่อเป็นการที่แล้วแต่ว่าบัญญัติไว้ในเรื่องใดว่าจะต้องอาศัยบุคคลใด ที่จะทำให้บุคคลที่สำนึกได้กลับเข้าสู่หมู่คณะ เป็นภิกษุ เป็นคณะสงฆ์ต่อไป

    ด้วยเหตุนี้ ถ้าคฤหัสถ์ไม่ศึกษาพระธรรมวินัย จะรู้ไหมว่าใครเป็นบรรพชิต ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจำเป็นไหมที่เราควรจะรู้ เพราะเป็นผู้ที่เป็นหนึ่งในพุทธบริษัท

    ผู้ฟัง จำเป็น เพราะว่าถ้าไม่รู้ ผมเข้าใจว่าถ้าไม่รู้เราน่าจะติดเตียนโดยที่เราน่าจะเป็นอกุศลมากกว่า

    ท่านอาจารย์ หรือร่วมกันกับผู้ที่กระทำผิดกระทำผิดต่อไป

    ผู้ฟัง ถ้างั้นมีมีสิ่งหนึ่ง ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวเรื่องรับเงินทอง ไม่ควรรับเงินทอง มันดูค้านกับที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กว่า เวลาใส่บาตร ไม่มีเวลา เราก็ใส่เงินแทน เวลานิมนต์พระมาทำบุญบ้าน เราก็ใส่ซอง แล้วเรื่องนี้ จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร มีวินัยข้อไหนที่ปัญญัติไว้ในเรื่องรับเงินทอง

    ท่านอาจารย์ ผู้นั้นไม่รู้จักพระภิกษุ เพราะเหตุว่าการไม่รับเงินทอง รวมอยู่ในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุกระทำไม่ได้ รวมอยู่ในสิกขาบท ๒๒๗ ข้อ แล้วก็เป็นขั้นต้นๆ ด้วย แสดงให้เห็นว่า ห่างไกลกันมาก คฤหัสถ์รับเงินทองได้ ไม่อาบัติเลย แต่เมื่อสละชีวิตของคฤหัสถ์ ทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด และจะกลับรับได้อย่างไร ก็เป็นการผิดจากความตั้งใจที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ก็จะกล่าวว่า ไม่มีภิกษุไหนในยุคนี้ที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ แต่ว่าลืม ไม่รู้จักภิกษุ แล้วยังกล่าวอีกว่า ถ้าประพฤติ อย่างที่ตามพระวินัย ก็เหมือนกับภิกษุในฝัน คือไม่สามารถที่จะเป็นจริงได้เลย แต่ลืม พระธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระวินัยคือข้อประพฤติปฏิบัติ สิกขาคือศึกษา ประพฤติปฏิบัติ บทคือข้อที่ประพฤติทางกายทางวาจา เยอะมากในเพศของบรรพชิต เปลี่ยนเพศจากคฤหัสถ์ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสทำอะไรก็ได้ แต่ฟังพระธรรมได้เข้าใจได้ มาเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตซึ่งสลัดความเป็นคฤหัสถ์ จะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเงินทอง ไม่ควรแก่พระภิกษุ แล้วก็เป็นอาบัติด้วย แม้อาบัติในขั้นต้น เพียงแค่นี้ก็แสดงความต่างกัน แล้ว ขั้นต้นคือความประพฤติใดๆ ที่คฤหัสถ์เคยประพฤติ ถ้าบรรพชิตยังประพฤติเหมือนเดิม ไม่ใช่ภิกษุ ซึ่งก็ขอเชิญคุณคำปั่นกล่าวถึงเรื่องสิกขาบท โดยเฉพาะในคอของเงินทอง

    ผู้ฟัง ขอแทรกนิดเดียว ท่านอาจารย์พูดตลอดว่า ไม่รู้จักภิกษุ ผมไม่รู้จักจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษาพระวินัย จะรู้ไหมว่า พระภิกษุเป็นใคร เห็นคนที่รับเงินทองเป็นภิกษุหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ศึกษา ก็ยังคงคิดว่าเป็นพระภิกษุ แต่ว่าพระภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ และพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติว่าอย่างไร ในเรื่องเงินทอง แต่ชาวบ้านธรรมดายังไม่ต้องถึงการที่จะรู้ความละเอียดของพระวินัย ๒๒๗ ข้อ เพียงรู้ว่าพระภิกษุต่างกับคฤหัสถ์ ใช่ไหม เครื่องนุ่งห่มก็ต่างกัน ความประพฤติต้องต่างกันด้วยไหม หรือว่าต่างกันแต่เพียงผ้า แต่ว่าความประพฤติยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ อย่างนั้นจะเป็นพระภิกษุ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ต้องเข้าใจถูกต้องว่า การเป็นพระภิกษุไม่ใช่เพียงแค่อุปสมบท เพราะฉะนั้นพระภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยนี้แน่นอน รู้จักพระภิกษุหรือยัง แต่ถ้ายังไม่รู้ความละเอียดของศีล ๒๒๗ เพียงแค่รับเงินทองก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะว่าก่อนบวช สละแล้วไม่ใช่หรือ แล้วรับเงินทำไม ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นคฤหัสถ์ ถ้ายังคงรับเงินทอง ทำกิจอะไร ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่เข้าใจพระธรรม แล้วบวชทำไม

    อ. คำปั่น ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความเป็นพระภิกษุ ก็คือผู้ที่สละทุกสิ่งทุกอย่างอย่างที่คฤหัสถ์เป็น ทรัพย์สินเงินทองวงศาคณาญาติทั้งหมดเลย มุ่งสู่เพศที่สูงยิ่งก็คือเพศบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่เว้นทั่ว เว้นโดยประการทั้งปวง เว้นจากเครื่องติดข้องอย่างที่คฤหัสถ์เป็น เว้นจากสิ่งที่ประพฤติไม่เหมาะไม่ควรทั้งหมด นี่คือความเป็นพระภิกษุ นอกจากนั้น ความหมายของภิกษุ ก็หมายถึงผู้เห็นภัยในสังสารวัฎ เพราะว่าเป็นผู้ที่เห็นว่าชีวิตเต็มไปด้วยภัยคือกิเลส มีแต่อกุศลธรรมทั้งหลายที่กลุ้มรุม ผู้ที่สะสมมาที่จะขัดเกลากิเลสในเพศที่สูงยิ่ง ท่านก็เห็นว่าเพศที่ปลอดโปร่ง ก็คือเพศบรรพชิต ท่านจึงสละอาคารบ้านเรือน มุ่งสู่เพศที่สูงยิ่งด้วยความเป็นผู้เห็นโทษเห็นภัยของกิเลส อย่างเช่นพระภิกษุในอดีต มีท่านรัฐบาล เป็นต้น รวมไปถึงราชกุมารทั้งหลาย ที่สละความเป็นพระราชา มุ่งสู่เพศที่สูงยิ่ง โดยไม่ติดข้องในสิ่งที่สละแล้วเลยแม้แต่น้อย

    แล้วก็อีกความหมายหนึ่งที่ปรากฏในอรรถกถา ก็คือผู้ใกล้ชิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่ามีความประพฤติคล้อยตามความเป็นไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าพระองค์เป็นเพศบรรพชิต สละอาคารบ้านเรือน ผู้ที่เป็นภิกษุก็ต้องมีความประพฤติเหมือนอย่างพระองค์ ก็คือละทุกสิ่งทุกอย่าง และก็พร้อมที่จะได้รับฟังพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง นี่คืออีกความหมายหนึ่ง

    แล้วทีนี้ก็ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงสิกขาบท หมายถึงบทที่จะต้องศึกษาให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องว่า สิ่งที่พระองค์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้นั้นมีความละเอียดอย่างไร เพื่อที่จะได้น้อมประพฤติได้อย่างถูกต้อง คือเว้นไม่ประพฤติในสิ่งที่ผิด และก็น้อมประพฤติเฉพาะในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น อย่างเช่นในสิกขาบทที่กล่าวถึงการไม่รับเงินและทอง ซึ่งก็มีต้นบัญญัติก็คือ แม้เพียงเล็กน้อย เงินไม่มากเลย ก็ไม่ควรแก่ความเป็นพระภิกษุ ก็กล่าวถึงท่านพระอุปนันทศากยบุตรก็เป็นผู้ที่เข้าไปรับอาหารจากตระกูลประจำ คือนิมนต์ไว้เพื่อไปรับภัตตาหารประจำ อุบาสกก็เตรียมอาหารไว้โดยตลอด แต่ว่ามีอยู่วันหนึ่ง กะว่าจะเตรียมทำอาหารถวายแก่พระอุปนันทศากยบุตรด้วยเนื้อชนิดหนึ่ง แต่ปรากฏว่าก่อนหน้านั้น เด็กในบ้านก็อยากจะกินเนื้อ ก็เลยให้เนื้อนี้แก่เด็กๆ ไปกินก่อน แล้วก็คิดว่าวันรุ่งขึ้นจะเอาเงินไปซื้อมาให้ใหม่ มาทำใหม่ พอพระอุปนันทะมา ก็ได้ทราบว่า เนื้อไม่มีแล้ว แต่ว่าจะเอาเงินไปซื้อ พระอุปนันทะได้ยินคำว่าเงิน ก็ถามกับอุบาสกว่า ท่านถวายเงินแก่เราหรือ คือก็หมายความว่า ถ้าจะซื้อเป็นเนื้อมา ก็ถวายเงินแก่อาตมาก็แล้วกัน ซึ่งอุบาสกนี้เป็นผู้ที่มีความเข้าใจ เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาต่อหน้าเลย ต่อหน้าพระอุปนันทศากยบุตรเลยว่า พระภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ผู้เป็นสมณะเชื้อสายศากยบุตรทำอย่างนี้ได้อย่างไร กล่าวต่อหน้าเลย อันนี้คือในสิกขาบทแสดงไว้ ว่ากล่าวติเตียนต่อหน้าเลยว่าเป็นความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร แล้วก็กล่าวกระจายข่าวโพนทะนาให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า ความประพฤติเช่นนี้ไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต ความนี้ก็ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประชุมสงฆ์ แล้วก็ตรัสถามพระอุปนันทศากยบุตรว่า เธอประพฤติอย่างนี้จริงหรือ ก็ได้รับคำตอบว่า จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตำหนิติเตียนโดยประการต่างๆ มากมายว่า ความประพฤติที่เธอกระทำนั้นไม่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตโดยประการทั้งปวง ไม่เหมาะควรแก่ผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน มุ่งสู่เพศที่สูงยิ่งแล้ว ไม่ควรเลย เป็นไปเพื่อความพอกพูนกิเลสอกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใสแก่ผู้คนเลยแม้แต่น้อย พระองค์ก็เลยทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ใครก็ตามที่บวชเข้ามาแล้ว รับเงินและทองเป็นอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ เป็นอาบัติมีโทษ ซึ่งจะต้องมีการสละในท่ามกลางสงฆ์จึงจะแสดงอาบัติได้ พ้นจากอาบัตินั้น นี่เพียงสิกขาบทอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวก็คือเพียงต้นๆ ยังทำไม่ได้เลย รับเงินและทองไม่ได้ แล้วก็น่าพิจารณาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกาในครั้งนั้นเป็นผู้ที่เข้าใจธรรม จึงสามารถที่จะกล่าวให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วยว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ราชบริษัทกล่าวกันว่า เงินทองควรแก่เพศบรรพชิต แต่ว่าก็มีบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมก็คือนายบ้านชื่อมณีจูฬกะกล่าวเลยว่า พระภิกษุท่านสละอาคารบ้านเรือนแล้ว ท่านสละเงินและทองแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงรับเงินและทองไม่ได้ นี่ก็เป็นความเห็นของผู้ที่เข้าใจ ก็สามารถที่จะกล่าวอธิบายให้ผู้อื่นได้ยินได้ฟังตามความเป็นจริงได้ และพระพุทธพจน์คือพระดำรัสที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสก็คือ เราไม่กล่าวด้วยว่า ให้ภิกษุในธรรมวินัยนี้แสวงหาเงินและทองโดยประการใดๆ เลย ไม่มีเลย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเคารพยำเกรงในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะต้องเคารพ ศึกษาในพระธรรมวินัย แล้วก็น้อมประพฤติในสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่ประพฤติในสิ่งที่ผิด เพราะว่าเป็นโทษโดยส่วนเดียว ความเป็นบรรพชิตถ้ารักษาไม่ดีมีแต่จะฉุดคร่าไปสู่ที่ต่ำอย่างเดียว แม้อาบัติเพียงเล็กน้อยก็เป็นโทษ เป็นเหตุที่ทำให้ผู้นั้น ซึ่งยังไม่ได้แสดงอาบัติ ถ้าหากว่ามรณะภาพลงก็คือตายไป ภพหน้าก็คืออบายภูมิ ไม่มีเว้นเลย แม้ว่าบางท่านจะประพฤติปฏิบัติธรรมมามาก แต่ว่าเพียงล่วงสิกขาบทเพียงข้อเดียว แต่ว่าไม่ได้แสดงอาบัติ ท่านละจากโลกนั้นไป ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน


    หมายเลข 10773
    7 มิ.ย. 2568