002 เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ตามพระธรรมวินัย
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ตามพระธรรมวินัย
ตอนที่ ๒
อ.คำปั่น ความเป็นบรรพชิต ถ้ารักษาไม่ดี มีแต่จะฉุดคร่าไปสู่ที่ต่ำอย่างเดียว แม้อาบัติเพียงเล็กน้อยก็เป็นโทษ เป็นเหตุที่ทำให้ผู้นั้นซึ่งยังไม่ได้แสดงอาบัติ ถ้าหากว่ามรณภาพลงก็คือตายไป ภพหน้าก็คืออบายภูมิ ไม่มีเว้นเลย แม้ว่าบางท่านจะประพฤติปฏิบัติธรรมมามาก แต่ว่าเพียงล่วงสิกขาบทเพียงข้อเดียว แต่ว่าไม่ได้แสดงอาบัติ ท่านละจากโลกนั้นไป ก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่คือเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก จากความเป็นมนุษย์จากเพศที่สูงยิ่ง แต่ว่าพบต่อไปตกไปสู่ที่ต่ำ น่ากลัวมากเลย
ผู้ฟัง แปลว่าเรานึกว่าเราทำบุญด้วยเงิน อาจจะทำให้ท่านไปสู่อบาย ถ้าเขาเข้าใจแบบนี้ใช่ไหม แล้วก็ได้ยินอีกอย่าง ก็ถ้าท่านอาบัติ ท่านก็ปลงอาบัติได้ ก็ไม่เป็นไร เราก็ใส่ไปก่อน
ท่านอาจารย์ คิดง่ายๆ ถ้าใครคิดว่าเงินทองควรแก่พระภิกษุ ค้านพระสัมมาสัมพุทธพระเจ้าหรือเปล่า แล้วกล้าที่จะค้านไหม
ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้ศึกษาเขาค้านกันอยู่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุเคราะห์สัตว์โลก ที่ทรงบัญญัติพระวินัยก็เพื่อให้ภิกษุอยู่ด้วยกัน ด้วยความผาสุกทุกข้อทุกประการแก่เพศของบรรพชิต เพราะเหตุว่าเงินทองควรแก่ผู้ใด รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะที่เราพูดเมื่อเช้านี้ ทางตาเห็น ทางหูได้ยินสิ่งต่างๆ รูปต่างๆ ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายก็กระทบสัมผัสเย็นบ้างร้อนบ้างอ่อนบ้างแข็งบ้างตึงไว้บ้าง ถ้าเงินเป็นแต่เพียงกระดาษ ไม่สามารถที่จะนำมาซึ่งรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ จะมีประโยชน์ไหม เอาเงินมากองท่วมจักรวาล แต่ว่าทำอะไรได้ไหม จะเอาไปซื้ออะไรก็ไม่ได้เพราะเป็นแค่กระดาษ แต่เพราะเหตุว่าเงินและทองสมบัติเงินทองทั้งหลาย จะเป็นธนบัตรจะเป็นอะไรก็ตามแต่ทั้งหมดนี้ นำมาซึ่งรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสได้ แต่พระภิกษุเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม แล้วก็รู้จักตนเองที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ไม่มีใครไปบังคับใครให้ปวช ยุคนี้สมัยนี้ มีคนขอให้คนอื่นบวช เพื่อครบจำนวนตามที่ได้ทราบ ขาดไป ๑ คน ขอให้ใครก็ไม่รู้ไม่เข้าใจพระธรรมวินัยเลย เขาก็บอกว่าเขาไม่รู้ ก็ขอให้เขาบวช มีหรือในพระพุทธศาสนา แสดงว่าดูหมิ่นความเป็นภิกษุว่าใครก็ได้ บวชได้ทั้งนั้น แต่ว่าตามความเป็นจริง สิ่งที่บริสุทธิ์ยิ่งคือ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามเป็นผู้บริสุทธิ์ยิ่ง แม้แต่การที่ต่างกันเป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ทำไมคฤหัสถ์กราบไหว้บรรพชิต เพราะรู้จุดประสงค์ว่าท่านบวชเพื่ออะไร เพื่อศึกษาธรรม เพื่อประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ตั้งแต่ตื่นจนหลับ แม้แต่การที่จะบริโภคอาหาร ต้องพิจารณาก่อน เห็นไหม ต้องรู้คุณเลยว่า ไม่ใช่บริโภคเพื่อนเล่น เพื่ออะไรทั้งสิ้น เพื่อดำรงชีวิตที่จะได้ศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ควรกราบไหว้ไหม เพราะคฤหัสถ์เข้าใจถูกต้อง แต่ถ้าคฤหัสถ์ไม่รู้จักพระภิกษุคือ ไม่รู้ว่าใคร บวชทำไมก็ไม่รู้ และได้รับอะไรจากพระภิกษุ พระภิกษุในครั้งนั้นอบรมเจริญปัญญา เมื่อผู้มีพระภาคส่งพระภิกษุไปประกาศพระศาสนา ท่านเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกเท่าไหร่ แต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์กราบไหว้ในคำที่เป็นความเห็นถูกที่ได้รับจากพระภิกษุซึ่งศึกษาประพฤติปฏิบัติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์จึงรู้ว่าใครเป็นภิกษุ และใครไม่ใช่ภิกษุ และจะกราบไหว้ผู้ที่เพียงแต่บวชแต่ไม่ได้ศึกษาธรรมเลย และไม่ประพฤติปฏิบัติตามธรรมเลย และคฤหัสถ์ซึ่งไม่เข้าใจธรรมวินัยเลย ก็กลับสนับสนุนส่งเสริมกล่าวว่า พระภิกษุจะอยู่ได้ยังไงถ้าไม่มีเงิน คิดว่าผู้ที่จะเป็นอย่างนี้ไม่รับเงินรับทองเป็นภิกษุในฝัน แต่ความจริงภิกษุในฝันไม่มี ภิกษุในอุดมคติอุดมการณ์ก็ไม่มี มีแต่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่ตามพระธรรมวินัย ไม่ใช่ภิกษุ เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์รู้จักภิกษุหรือยัง แล้วเอาเงินไปให้ใคร ให้คนที่เขาไม่รับได้หรือ ให้คนที่เขาสละแล้วได้หรือ เขาจะรับไปทำไม ในเมื่อรับแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ว่ากิเลสเริ่มจากไหน เริ่มจากความไม่รู้ ความติดข้อง ความต้องการในอะไร ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาหูจมูกลิ้นกาย ใจก็ติดข้อง แสวงหาด้วยประการต่างๆ จากสุจริตเป็นถึงทุจริตก็ได้ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกด้วยความจริง ให้รู้ความจริงตามเพศว่า คฤหัสถ์ประพฤติอย่างไร ขัดเกลากิเลสอย่างไรในเพศคฤหัสถ์ แต่บรรพชิตจะทำอย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ ถ้าไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ ไม่มีใครบังคับ ก็เป็นเพศคฤหัสถ์ ง่ายมากเลย เพียงแต่บอกใครก็ได้ว่า ลาสิกขา ไม่เป็นพระภิกษุอีกต่อไป ก็พ้นจากเพศภิกษุแล้ว ไม่เดือดร้อนด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคฤหัสถ์ไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ก็เป็นผู้ที่ร่วมกันทำร้ายพระธรรมวินัย เพราะความไม่รู้
ผู้ฟัง ถ้าเลี่ยงไป ไม่ให้เงินและทอง ถวายรถได้ไหม
อ. ธีรพันธ์ รถก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับภิกษุเลย ภิกษุ ท่านสามารถอยู่ได้ด้วยบริขารเพียง ๘ เท่านั้นเองคือ จีวร ๓ ผ้านุ่งก็คือสบง จีวรผ้าห่ม สังฆาฏิ ผ้าห่มซ้อนนอก บาตร มีดสำหรับไว้ปลงผม เข็มเย็บเวลาจีวรชำรุด ประคดเอว แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือผ้ากรองน้ำ ท่านก็สามารถอยู่ได้แล้ว แค่นี้ จะเอารถมาทำไม
ท่านอาจารย์ รถไม่หรูรับได้ไหม เมื่อกี้นี้คุณชลธีพูดถึงรถหรู ทีนี้ถ้ารถไม่รู้รับได้ไหม ไม่รู้ก็ไม่ได้ เพียงแค่นั้นยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นภิกษุใดรับสิ่งที่ไม่ควรรับ หมายความว่ายินดีในสิ่งนั้นใช่ไหม ใช่ ผิดจากความคิดที่จะสละกิเลสแล้ว ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย
อ. อรรณพ แม้เกวียน ยังรับไม่ได้ ไม่ต้องมารถราคาแพงๆ รถหรู เพราะไม่ใช่สิ่งที่เป็นกัปปิยะ คือที่สนทนาอยู่เพื่อที่จะรักษาพระวินัย ซึ่งท่านพระอุบาลีท่านแสดงไว้ในเถระคาถาว่า คำสอนทั้งหมด คือคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าจะจำแนกเป็นองค์ ๙ นวังคสัตถุศาสน์ แต่ถ้าไม่เอาศัพท์ก็คือ คำสอนของพระองค์ทั้งหมด รวมลงในพระวินัยอย่างไร ตามคำของท่านพระอุบาลี และพระอุบาลีท่านเป็นผู้เลิศในเรื่องของพระวินัย กราบเรียนอาจารย์ว่า คำสอนทั้งหมดของพระผู้มีพระภาคเจ้า รวมลงในวินัยอย่างไร พระวินัยเป็นรากเหง้าของพระศาสนาอย่างไร
ท่านอาจารย์ ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงที่ไม่ดีมีไหม มีใช้คำว่า อกุศล อกุสละ หรืออกุสลาธัมมา ที่เราได้ฟังงานศพ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา อัพยากตาธัมมา แสดงว่าไม่มีอะไรนอกจากธรรม ที่จำแนกโดยประเภท แล้วแต่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยอะไร เพราะฉะนั้นเมื่อกุศลธรรมมี ทุกคนเห็นว่าไม่ควรมีหรือเปล่า แต่ทำไงได้ ไม่มีปัญญาก็ยังต้องมีอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญา แล้วจะนำออกซึ่งอกุศลได้ไหม เพราะฉะนั้น ธรรมก็คือวินัย วินัยก็คือธรรม เพราะว่าเป็นเครื่องนำออกโดยปัญญา ด้วยความเห็นถูก ด้วยความเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นใครคิดว่าจะหมดกิเลสโดยไม่เข้าใจพระธรรม เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมเห็นโทษแล้ว ที่จะไม่ละอกุศลเป็นไปได้ไหม ไม่ได้ ตามกำลังของปัญญาไม่ใช่มีใครสามารถที่จะไปดับกิเลสได้ เพราะเหตุว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ความจริง ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ตรงต่อสิ่งที่มีจริงถูกต้อง แต่ถ้าเข้าใจผิดเมื่อไหร่ ไม่ใช่ธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงขนาดนี้ที่เริ่มฟังธรรม รู้ประโยชน์จริงๆ ว่า ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ ก็จะไม่สนใจในพระธรรมเลย แต่ถ้ารู้ว่า ขณะนี้มีสิ่งที่มี แต่ใครๆ ก็รู้ไม่ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เห็นโทษจะไม่รู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ หรือ และเมื่อมีการรู้เหตุที่จะเข้าใจขึ้น โดยการฟังคำจริงจากผู้ที่ตรัสรู้ เมื่อเริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ ไม่ใช่เราแต่เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาก็เริ่มเห็นประโยชน์ ถ้าฟังต่อไปอีกเข้าใจเพิ่มขึ้นอีก ไม่ใช่เรา แต่ปัญญาก็จะทำกิจของปัญญานั่นแหละเพิ่มขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็จะรู้ว่าไม่มีเราที่จะไปบอกให้คนนั้นทำอย่างนี้ ให้ดูโน่น ให้ดูนี่ ให้นั่งอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ ซึ่งไม่ใช่ความเข้าใจในพระไตรปิฎกไม่มีข้อความอย่างนี้เลย ไม่ว่าใครไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงซึ่งกำลังปรากฏกับคนนั้นตามความเป็นจริง เช่นตรัสถามว่า จักขุวิญญาณคือเห็น เที่ยงไหม ยั่งยืนไหม ซึ่งขณะนั้นคนฟังมีปัญญา ก็รู้ว่า เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิด เพราะฉะนั้นเห็นนี้ ต้องเห็นเฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะใดที่ได้ยิน ขณะนั้นไม่ใช่เห็น เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะทูลตอบว่า เห็นไม่เที่ยง พระเจ้าข้า แต่ไม่ใช่ไม่คิด อยู่ดีดีก็ตอบไปเลย เพราะฉะนั้นนี่ก็แสดงถึงลำดับขั้นของความเข้าใจของคนฟัง ซึ่งมีหลายระดับมาก ระดับที่ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ แล้วก็ฟัง แล้วก็เข้าใจ จนกระทั่งถึงสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงคือการเกิดดับ ซึ่งพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประจักษ์แล้ว จึงทรงแสดงความจริง ซึ่งคนอื่นสามารถที่จะอบรม จนกระทั่งละคลายความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ความรู้ต่างหากที่ค่อยๆ รู้แล้วละความติดข้อง ถึงระดับที่สภาพธรรมปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อนั้นผู้นั้นก็จะเข้าใจทุกคำที่ทรงแสดงว่า คำไหนก็ตามที่ได้ตรัสแล้ว เป็นคำจริงที่ สามารถที่จะรู้ได้ เพราะฉะนั้นก็จะเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า ความเข้าใจถูกเป็นวินัย และวินัยก็เป็นธรรม ไม่ใช่ว่าไม่มีธรรม แล้วก็เป็นตัวตนที่รักษาวินัย
อ. อรรณพ วินยะ (วินัย) คือนำกิเลสออก เพราะฉะนั้นตอนนี้เราเข้าใจว่าพระธรรมทั้งหมดรวมลงในวินยะ ก็คือพระธรรมทั้งหมดเพื่อการนำกิเลสออก เพราะฉะนั้นทั้งบรรพชิตทั้งคฤหัสถ์ก็มีวินัย ก็คือการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาทั้งหมดที่พระองค์ท่านทรงแสดง ก็เป็นเครื่องนำออกจากกิเลส แต่ด้วยเพศที่ต่างกัน แม้ว่าทั้งบรรพชิตและทั้งคฤหัสถ์จะมีวินัยคือการนำออกจากกิเลส จากการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาเหมือนกันแล้ว แต่เนื่องจากเพศต่างกัน จึงมีสิกขาบทสำหรับภิกษุ แต่สำหรับคฤหัสถ์ไม่ได้มีศีล ๒๒๗ อย่างนั้น ถ้าจะมีก็ศีล ๕ นี้ก็เป็นความละเอียดของเพศที่ต่างกัน
ทีนี้พูดถึงข้อ รับเงินทองแม้สามเณรก็รับเงินทองไม่ได้ เป็นศีลข้อที่ ๑๐ ทีนี้ความลำบาก ก็คือความคิดของผู้ที่เข้าไปบวชมาก หรือว่าชาวบ้านซึ่งชาวบ้านก็ไม่ได้ศึกษาพระวินัย แล้วก็ประสงค์ที่จะให้พระท่านสะดวกสบาย ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงในยุคนี้ซึ่งรุนแรงมาก แม้ในยุคเพียง ๑๐๐ ปีที่พระผู้มีพระภาคดับขันปรินิพพานไป ก็มีภิกษุชาววัชชี ซึ่งรับเงินรับทอง แล้วก็พยายามจะให้รับเงินรับทองให้ได้ ซึ่งอุบาสกอุบาสิกาก็ถวายเงินถวายทองกับภิกษุชาววัชชีในสมัยนั้น แล้วพระเถระผู้มีคุณอันประเสริฐคือเริ่มจากท่านพระยสกากัณฑกบุตร ท่านก็พยายามชี้แจงกับชาวเมือง ตอนแรกแม้ท่านจะชี้แจงชาวเมืองว่า พระสมณะเชื้อสายศากยบุตรไม่สมควรกับทองและเงิน ทองและเงินไม่สมควรกับพระสมณะเชื้อสายศากยบุตร แต่ชาวบ้าน ตอนแรก ก็ยังคงถวายเงินถวายทองกับภิกษุอยู่นั่น จนกระทั่ง ท่านเองต้องแสดงธรรม ยกเรื่องในสมัยพุทธกาลเมื่อ ๑๐๐ ปีในยุคของท่านว่า นายบ้านชื่อมณีจูฬกะที่อาจารย์คำปั่นพูดไปโดยสังเขปเมื่อสักครู่ ยกตัวอย่างเรื่องของท่านอุปนันทะศากยบุตรที่เป็นต้นบัญญัติ ต้องชี้แจงถึงขนาดนั้น สุดท้ายชาวเมืองเข้าใจ ชาวเมืองจึงกล่าวว่า ท่านพระยสกากัณฑกบุตรรูปเดียวเท่านั้นที่เป็นสมณะเชื้อสายศากยบุตร ภิกษุที่รับเงินรับทองผิดวินัย ภิกษุชาววัชชีเหล่านั้นไม่ใช่สมณะศากยบุตร เป็นเรื่องยากทีเดียวที่ท่านเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์ด้วย ท่านต้องชี้แจงกับชาวเมือง และในยุคนี้จะเป็นยังไง ชี้แจงอยู่อย่างนี้เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเข้าใจธรรมโดยการศึกษาด้วยความละเอียด และด้วยความหวังดีต่อผู้ที่ไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น การที่บุคคลใดถวายเงินทองแก่พระภิกษุ บุคคลผู้นั้นทำลายพระภิกษุ ทำให้เขาติดข้องในเงินและทอง เขากำลังจะสละ แต่กลับไปยื่นให้ เพราะฉะนั้น คนนั้นแหล่ะทำลายบุคคลซึ่งตั้งใจที่จะขัดเกลากิเลส เป็นการไปเพิ่มกิเลสให้ และจะขัดเกลาได้อย่างไร คือไม่เห็นโทษจริงๆ เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทไม่ใช่ว่า ไม่ใช่ผู้ที่ได้ฟังธรรมเลย แล้วก็จะเป็นพุทธบริษัท เพียงแค่ชื่อว่า เกิดในประเทศที่พ่อแม่นับถือพระพุทธศาสนา ก็นับถือพระพุทธศาสนาไปด้วยตามๆ กัน แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความจริงใจ ถ้าจะกล่าวว่านับถือหมายความว่า ต้องรู้ว่านับถืออะไร ไม่ใช่นับถืออะไรก็ไม่รู้ มีแต่ชื่อ อย่างนั้นนับถือจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงใจ และก็ถูกต้อง ที่ควรเข้าใจถูกต้องก็คือ พระภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ แล้วก็เพียงแค่ยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ชีวิตของพระภิกษุ ชีวิตของพระภิกษุ คือขัดเกลา ละคลายความติดข้อง เพราะฉะนั้น ถ้ายินดีในสิ่งที่เขาถวาย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น ก็คือผู้นั้นไม่ได้เป็นภิกษุในพระธรรมวินัย และยิ่งรับ ไม่ใช่แค่ยินดี ยินดี เขาไม่ถวายก็อยากได้ มีไหม แต่ขอไม่ได้ ถึงให้ก็รับไม่ได้ เห็นไหมว่า การที่จะเป็นพูดตรงๆ ต้องตรงจริงๆ สมควรแก่การกราบไหว้ของคฤหัสถ์ เพราะว่าในพุทธบริษัท ๔ บรรพชิตก็เป็นผู้ที่ใกล้ชิดต่อพระธรรมคำสอน และก็ตลอดชีวิตได้สละแล้วอย่างชีวิตของคฤหัสถ์ ส่วนใหญ่ของท่าน ก็คือว่า ตั้งแต่ตื่นจนหลับ เป็นกุศล ขัดเกลาทุกอย่าง วาจาที่เคยพูด ที่เคยพูดอย่างคฤหัสถ์ บรรพชิตพูดไม่ได้ ก็หลายอย่าง ยกตัวอย่างได้ไหม คุณคำปั่นธรรมดาๆ
อ. คำปั่น สำหรับในเรื่องของการพูด แม้แต่เพียงพูดเพื่อหยอกล้อกันเล่น เพื่อความสนุกสนานก็ไม่ได้ แล้วก็เวลาที่ไปในละแวกบ้าน จะไปพูดส่งเสียงดัง ก็ไม่ได้ นี่ก็แสดงถึงเพศที่ขัดเกลาจริงๆ ปกติชีวิตของคฤหัสถ์เวลาที่รับประทานอาหาร บางครั้งก็มีการพูดคุยสนทนากัน ใช่ไหม แต่ว่าพระภิกษุคำข้าว หรือว่าอาหารอยู่ในปาก พูดไม่ได้ แสดงถึงความงดงามจริงๆ ของเพศที่สูงยิ่ง ที่จะต้องประพฤติเฉพาะในสิ่งที่เหมาะควรเท่านั้น
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนี้แล้ว เดินขบวนก็ไม่ได้
อ. คำปั่น ไม่ได้ เพราะว่าเป็นเรื่องของความไม่สงบจริงๆ
ท่านอาจารย์ กำลังเดินขบวนสงบไหม ต้องการอะไรหรือเปล่า เวลารับของที่ไม่สมควรแก่บรรพชิต รถยนต์ เงินทอง ทรัพย์สิน ที่ดินไร่นาทั้งหมด ไม่ควรแก่บรรพชิต ถ้าไม่อยากได้จะรับไหม คนที่ไม่อยากได้จะรับไหม แต่คนที่รับอยากได้ไหม แล้วก็ภิกษุละเพศคฤหัสถ์แล้ว เพื่อละกิเลส แต่ยังยินดีอยากได้ จะต้องเป็นผู้ที่สำนึกว่า กระทำผิดต่อพระวินัย
อาบัติก็มีหลายระดับ ทางวาจาพูด พูดอย่างคฤหัสถ์ก็ไม่ได้แล้ว จะตะโกนลั่นก็ไม่ได้ เดินไปตะโกนไป ได้ไหม ก็ไม่ได้ ใช่ไหม ทั้งกายทั้งวาจา ต้องเป็นผู้ที่แสดงความเป็นผู้สงบจากกิเลส เพราะฉะนั้นถ้าไม่สงบจากกิเลส ก็ไม่ใช่พระภิกษุ นี่คืออาบัติทุกกฏ (ทุกกฏะ) ความประพฤติที่ไม่ดี ทางวาจาเป็นทุพภาษิต คำพูดที่ไม่เหมาะแก่บรรพชิต หยอกล้ออย่างนี้ ถ้าได้ยินพระภิกษุพูดจาหยอกล้อ สนุกสนานครื้นเครง อาบัติ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่เพศของบรรพชิต ที่จะไม่สงบถึงอย่างนั้น คฤหัสถ์ที่ฟังดูจากปกติกว่า ไม่ถึงอย่างนั้น เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ตรง ทำไมเรากล่าวถึงพระธรรมวินัย ถ้าไม่ใช่เพื่ออนุเคราะห์พุทธบริษัทด้วยกัน ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าอะไรถูกอะไรผิด เป็นประโยชน์ไหมที่จะกล่าวให้รู้ เพื่อที่จะได้ประพฤติปฏิบัติตาม พระธรรมวินัยยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง ไม่มีสักข้อเดียวที่จะกล่าวว่า อันนี้อย่าเพิ่งพูด ไม่ควรจะพูดคำนี้บ่อยๆ ทำไมล่ะ ก็เป็นความจริง ไม่ควรให้คนอื่นรู้หรือ จะได้เข้าใจให้ถูก ไม่อย่างนั้นก็ผิดๆ กันไป ปกปิดกันไป แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่ไม่ตรงที่จะไม่เปิดเผยสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์เองก็มีกิจหน้าที่ที่จะเข้าใจพระธรรมวินัย เพื่อเกื้อกูลต่อพุทธบริษัท เพราะฉะนั้นสมควรอย่างยิ่ง ขั้นต้นก็คือ รู้ความต่างกันของภิกษุและคฤหัสถ์ พระภิกษุไม่มีกิจการใดๆ ทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับเงินและทองทุกประเภท จึงสมควรแก่เพศบรรพชิต ควรกล่าวอย่างนี้ไหม ควรพูดไหม ตามพระธรรมวินัย พูดแล้วเป็นประโยชน์ไหม ไม่ได้ทำลายประโยชน์ของใครเลย มีแต่เกื้อกูลให้เข้าใจถูกต้อง สิ่งที่ผิดก็แก้ไข ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป จริงๆ แล้วแสนสั้น ไม่รู้ว่าวันไหนจะจากโลกนี้ไป แต่โทษผิดที่ได้ทำไว้ในพระธรรมวินัย ต้องมีผลที่จะต้องได้รับแน่นอน ตามตัวอย่างที่มีมากในพระไตรปิฎก
อ. อรรณพ ที่เป็นปัญหาก็คือว่า การที่ไม่ได้ศึกษา แล้วก็ไม่รู้ว่าความต่างของเพศเป็นอย่างไร เพียงแต่มีเพศบวชตามประเพณีบ้าง ด้วยความไม่เข้าใจบ้าง ซึ่งภิกษุก็เป็นประชาชน เพราะฉะนั้นบางทีก็เลยคิดว่า ก็น่าจะใช้สิทธิของประชาชน เช่นการแสดงความคิดเห็น การเดินขบวน ซึ่งประชาชนก็ทำได้ ภิกษุก็เป็นประชาชนเหมือนกัน ลืมพระวินัย
