ฟ้งจนค่อยๆ เข้าใจความจริงของสภาพธรรม


        อ.อรรณพ อยากให้ท่านอาจารย์เพิ่มเติมคำอธิบายการล่อลวงของวิจิกิจฉาไว้ว่าวิจิกิจฉาย่อมลวงเสมือนว่าเป็นการพิจารณาทั้งสองทาง

        สุ. ทั้งๆ ที่สงสัย ไม่รู้เลย ก็คิดไปคิดมา คิดมาคิดไปด้วยความไม่รู้ ก็เข้าใจว่านั่นคือหนทางที่จะทำให้รู้ได้ แต่หนทางจริงๆ คือการไตร่ตรอง พิจารณาด้วยความรอบคอบ ด้วยความเข้าใจถูก ไม่ใช่เพียงขั้นคิดเอา อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง

        อ.อรรณพ ขณะที่วิจิกิจฉาเกิดท่านอาจารย์กล่าวว่าลวงเหมือนกับว่าต้องคิดไปคิดมาอยู่อย่างนั้น ก็คือยิ่งสะสมวิจิกิจฉาขึ้นไปอีก หมายอย่างนั้นหรือครับ

        สุ. เมื่อไม่ใช่ปัญญาแล้วจะหายสงสัยได้ไหมก็สงสัยต่อไปอีกเรื่อยๆ

        ธิ. อย่างนี้แสดงว่าในขณะที่สงสัยหรือกำลังมีวิจิกิจฉาอยู่ก็ไม่รู้ว่ากำลังสงสัยจึงถูกลวงใช่ไหม

        สุ. หนทางเดียว ทั้งหมดเป็นชื่อ ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม จำแต่ชื่อ และก็เรียกชื่อทั้งหมด อย่างที่คุณประทีปกล่าวว่าขณะที่เห็นประกอบด้วยเจตสิก ๗ ดวง บอกได้หมดเลย แต่ว่ารู้ลักษณะของเจตสิกนั้นไหม ไม่ได้รู้แต่จำชื่อ คุณหมอกำลังรู้ความจริงของธรรมอะไร

        ผู้ฟัง รู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏในโลกนี้ประกอบด้วยรูปธรรม และนาม ธรรม นามธรรมเป็นสิ่งที่รู้ แต่รูปธรรมเป็นสิ่งที่ไม่รู้อะไร

        สุ. เดี๋ยวนี้หรือที่กำลังรู้ พูดถึงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้รู้อะไร คือรู้เรื่องที่ได้ฟังด้วยความเป็นเรา เพราะฉะนั้นในขณะใดก็ตามที่เป็นกุศลเกิดขึ้น ขณะนั้นอวิชชาไม่สามารถที่จะปกปิดความรู้ความเข้าใจขั้นฟังได้ แต่ว่าแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังว่าอกุศลมี ๓ ประเภทที่เป็นมูล เป็นรากเหง้าของอกุศลอื่นๆ ก็คือโลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ สำหรับโลภะเราก็พอที่จะรู้ เวลาที่กล่าวว่าขณะใดก็ตามที่กล่าวว่าเป็นความติดข้องต้องการไม่ละ ขณะนั้นเป็นลักษณะของโลภะ เมื่อได้ฟังอย่างนี้เราก็พอจะรู้ลักษณะของโลภะได้ เวลาที่เกิดความยินดี เกิดความต้องการติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด โทสะก็เป็นสภาพที่ขุ่นเคืองประทุษร้าย เวลาที่โทสะเกิด เราก็ยังเห็นความเป็นอกุศลของโทสะได้ แต่ว่าถ้าไม่มีโทหะคือความไม่รู้ โลภะ และโทสะก็เกิดไม่ได้เลย แต่เราเคยคิดถึงโมหะไหมว่าลักษณะของโมหะจริงๆ เมื่อเวลาที่อกุศลจิตเกิดจะปราศจากโมหะไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เรารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏหรือเปล่า หรือว่าเราเพียงเริ่มฟังเริ่มเข้าใจ แต่โมหะก็ยังอยู่เต็ม ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมจะกล่าวว่าไม่มีโมหะไม่ได้เลย แต่ขณะใดที่กำลังฟังเข้าใจ ขณะนั้นก็มีความเข้าใจซึ่งโมหะไม่สามารถที่จะปิดกั้นกุศลเจตสิก และกุศลธรรม จิต และเจตสิกเกิดขึ้นเป็นกุศลในขณะนั้นชั่วขณะ แต่ไม่ได้หมายความว่าเรารู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมตามที่ได้ฟัง แต่การที่จะรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมได้ ขณะนั้นไม่ใช่โมหะแต่เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้กำลังฟังเรื่องของสภาพธรรม และก็มีสภาพธรรม แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะจริงๆ ของสภาพธรรมได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องฟังจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ฟัง ก็ต้องเป็นความอดทนเพราะว่าถ้าจะกล่าวถึงปัญญา และก็ไม่รู้ปัญญารู้อะไร ไม่รู้ว่าปัญญาจะอบรมให้เจริญขึ้นได้อย่างไรก็หมดหนทาง แต่ถ้ารู้ว่าการฟังจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมเหมือนกับสิ่งที่ไม่คมเลย แต่ก็ต้องอาศัยการลับการฝึกจนกระทั่งสิ่งนั้นคม สามารถที่จะตัดหรือละอกุศลได้ฉันใด ขณะนี้เราก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นความเข้าใจขั้นฟัง ทั้งๆ ที่พูดถึงโมหะ แต่ขณะนี้รู้อะไร ถ้าไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ก็ตามโมหะคืออวิชชาก็ยังมีอยู่เต็มเป็นปัจจัยที่จะให้ดำรงภพชาติต่อไป เพราะเหตุว่าตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ก็ยังคงเป็นความไม่รู้ แม้ในขณะที่เป็นกุศล และอกุศลก็ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน นี่ก็จะเห็นได้ว่าถ้าจะรู้ลักษณะของโมหะก็คือขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นก็ยังมีโมหะอยู่

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 199


    หมายเลข 10542
    25 ม.ค. 2567