ธรรมจากเวียดนาม


        จากการสนทนาธรรมที่เวียดนามที่ผ่านมา มีสารธรรมที่เป็นประโยชน์ คือ ความต่างกันของสติ และ สติสัมปชัญญะ ลักษณะของเจตสิก และจิตประเภทต่างๆ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสำนักปฏิบัติ และประโยชน์ในชีวิตที่ได้จากความเข้าใจธรรม


        ธรรมะเตือนใจ ปี ๒๕๕๘

        จากการสนทนาที่ มศพ. ๑๐/๐๑/๒๕๕๘

        ท่านอาจารย์ สำหรับปัญหาธรรมะที่น่าสนใจ ก็ได้สนทนาหลายเรื่อง วันสุดท้ายตอนเช้า ก็คิดว่าเป็นโอกาสดี ที่จะให้ความละเอียด เพราะว่าถ้าไม่มีความละเอียดเขาก็ไม่สามารถที่จะแยกว่าสติที่เกิดกับกุศลจิตทั่วๆ ไป กับสติสัมปชัญญะหรือสติปัฎฐานต่างกันอย่างไร เพราะฉะนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องชีวิตประจำวัน และพูดถึงขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิดก็มีสติเกิดได้ และต้องเกิดด้วยเพราะเหตุว่าถ้าสติไม่เกิดกุศลจิตก็เกิดไม่ได้ และจากนั้นก็พูดถึงสภาพของเจตสิกด้วย ตั้งแต่ผัสสะเจตสิกต้องเกิดกับจิตทุกขณะ และความต่างกันของจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆาณะวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายาวิญญาณ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็เป็นเช่นนี้ กำลังเห็นหนึ่งขณะต้องต่างกับจิตอื่นทั้งหมดซึ่งเกิดต่อ เพราะเหตุว่าจักขุวิญญาณไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วยแม้ว่าจิตทุกขณะต้องมีผัสสะเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่ทำไมจิต ๑๐ ดวงนี้ ซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัยไม่มีเจตสิกอื่นนอกจากเจตสิก ๗ ซึ่งเป็นผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกคตา ชีวิตตินทรีย มนัสสิการ เขาจะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าการศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจสิ่งซึ่งยาก ลึกซึ้ง แม้กำลังมีก็ไม่ใ่ช่จะสามารถที่จะรู้ตามที่ได้ฟังได้ จนกว่าจะมีความเข้าใจเพื่มขึ้นๆ เพราะว่าความเข้าใจเป็นการละเมื่อเห็นความลึกซึ้งความละเอียดอย่างยิ่งของธรรมะก็รู้ว่าไม่ต้องหวังไม่ต้องคอยใดๆ เลยทั้งสิ้น

        มีการได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ฟังธรรมะที่จะสะสมความเห็นที่ถูกต้องก็เป็นโอกาสที่ประเสริฐที่ว่าวันหนึ่งจะได้ออกจากสังสารวัฎ แต่ว่าตราบใดถึงแม้ว่าจะพูดทุกวัน เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นทุกข์ เพราะอะไร มีปัจจัยเกิด ใครก็ไปทำให้เกิดไม่ได้ เกิดแล้วก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย และก็ไม่ใช่แต่เห็น ได้ยิน เท่านั้น ทุกขณะก็เป็นอย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหมือนเดิมหรือไม่ คือเพิ่มความเข้าใจขึ้นทีละน้อยๆ ไม่ใช่หวังว่ากิเลสจะหมดไป จะเป็นคนดี จะอย่างนั้นอย่างนี้ได้อย่างใจหวัง เพราะบางคนคิดว่ามาเรียนธรรมเพื่อจะเป็นอย่างนั้น แต่นั่นไม่ถูก แต่เพราะรู้ว่าความไม่รู้มีมาก แล้วก็เป็นธรรมะซึ่งไม่สามารถที่จะนำไปสู่ความเจริญใดๆ ได้เลยมีแต่ความเสื่อมเพราะเป็นเหตุให้มีความติดข้อง เมื่อมีความติดข้องก็เพิ่มกิเลสมากมาย รวมทั้งความสำคัญตนอะไรต่างๆ ด้วย ยากแสนยากที่จะให้หมดไปได้ เพราะว่าเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ทันทีที่เห็นอกุศลก็เกิดแล้ว

        ได้ฟังธรรม เพื่อที่จะสะสมความเห็นถูก เพื่อที่จะทำให้วิตกเจตสิกซึ่งเกิดต่อจากจักขุวิญญาณ ตั้งแต่สัมปฏิจฉันนะเป็นต้นมามีกำลังจนกระทั่งสามารถที่จะเป็นสัมมาสังกัปปะซึ่งเป็นมรรคมีองค์ ๘ ต่อจากสัมมาทิฎฐิได้ ถ้าไม่กล่าวถึงความละเอียดอย่างนี้ หลายคนก็ยังคงฟังธรรมแล้วก็ไปสำนักปฏิบัติ

        ที่เวียดนามก็เหมือนกัน มีชาวเวียดนามผู้หญิงคนหนึ่ง น่ารักมากเลย โดยการที่ว่าเขารู้ว่าธรรมะดีมาก มากๆ เลย แต่เขาก็ไปสำนักปฏิบัติ แต่เพราะเขารู้ว่าธรรมะมีความละเอียดมีความลึกซึ้ง ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาชวนคนมาฟังหมดเลย ไม่ว่าเป็นใคร แต่เขาก็ไปสำนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้น จะเห็นความลึกมากของการที่อกุศลทั้งหลายยากที่จะขัดเกลาได้ เพราะโลภะ เพราะความติดข้องในความเป็นตน ทั้งๆ ฟัง ทั้งๆ รู้ แต่เขาก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ก็หวังรอว่า ฟังอีกเท่าไหร่เขาถึงจะไม่ไปสำนักปฏิบัติ เพราะเขาก็รู้ว่าไม่ได้มีความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น เริ่มต้นจากการไปนี่ไปทำไม ในเมื่อขณะนี้มีสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ถ้ากล่าวอีกนัยหนึ่ง โดย ๖โลก ก็คือ โลกทางตา๑ ทางหู๑ ทางจมูก๑ ทางลิ้น๑ ทางกาย๑ และทางใจ๑ ถึงแม้ว่าจะไม่กล่าวโดยละเอียด แต่โลกก็เป็นอย่างนี้ คือขณะที่เห็นนี้ ไม่ได้คิด ได้ยินก็ไม่ได้คิด ได้กลิ่นก็ไม่ได้คิด ลิ้มรสก็ไม่ได้คิด รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็ไม่ได้คิด แต่ว่าห้ามคิดไม่ได้เลย เพราะว่ามีเห็นก็ต้องคิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น มีได้ยินก็คิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยิน แต่ว่าด้วยความไม่รู้ และด้วยการหลงเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง นานแสนนานมาแล้ว

        เพราะฉะนั้นคำว่าขณะนี้สภาพธรรมเกิดเพราะมีเหตุปัจจัยแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย ชาติก่อนๆ ทั้งหมดไม่มีทางที่จะกลับไป แต่ละพระชาติของพระโพธิสัตว์เราก็ได้อ่านได้ฟังมา เพราะฉนั้นเหมือนกันหมดไม่ว่าเดี๋ยวนี้ ต่อไปก็คือว่าชาติหน้าก็จะไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ และก็สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้กลับมาไม่ได้เลย

        เพราะฉะนั้น แม้ได้ฟังอย่างนี้ ยกตัวอย่างชาวเวียดนามที่น่ารักคนนั้น ก็ยังคงไปสำนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีความเห็นผิดแล้ว จะไม่มีความเห็นถูก และเมื่อมีความเห็นผิดก็คือว่าผู้นั้นไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เหมือนกับหันหลังให้พระองค์ไปตลอด ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ แม้ชาติหน้าก็เป็นเช่นนี้อีก

        ด้วยเหตุนี้ปัญญาไม่ได้ทำให้ติดข้อง เมื่อรู้ความจริงว่าเป็นธรรมะ ก็แล้วแต่ปัจจัยที่จะทำให้สามารถเห็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งในการเกิดเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ คืออยู่เพื่อเข้าใจธรรมะ


    หมายเลข 10438
    28 ม.ค. 2567