ภาระและภัย


        ภาระคืออะไร เป็นภาระอย่างไร ขณะนี้มีภาระหรือไม่ และเป็นภัยอย่างไร


        อ.วิชัย จะเข้าใจขณะนี้ได้อย่างไรว่า เป็นอภิสังขารหรือเปล่า

        ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่เกิดเป็นภาระใช่ไหม

        อ.วิชัย ตั้งแต่ต้นที่ฟังท่านอาจารย์

        ท่านอาจารย์ เพราะเกิดมาก็ต้องเป็นไป เป็นภาระแน่นอน มีอะไรเกิดบ้าง มากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ทรงแสดงสภาพธรรมะที่เกิดเป็นภาระอีกด้วย นอกจากขันธภาระ เพราะเหตุว่าทุกอย่างไม่พ้นจากขันธภาระ เป็นสิ่งที่มีเกิดขึ้นต้องเป็นไป ยับยั้งไม่ได้เลย ใครจะบอกว่า ไม่อยากเกิดอีกแล้ว แต่ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะมีเหตุที่จะต้องเกิด เมื่อกี้นี้ดับแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่เกิดอีกตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดอีก ยับยั้งไม่ได้เลย เป็นขันธภาระ

        เพราะฉะนั้น กล่าวโดยกว้างที่สุด คือ ทุกอย่างที่เกิดมีขึ้นเป็นไปเป็นภาระทั้งนั้น เพราะต้องเกิด ต้องเป็นไป ไม่เกิด ไม่ต้องเป็นไปจึงไม่ใช่ภาระ

        ด้วยเหตุนี้ในบรรดาภาระทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เกิดแล้วต้องเป็นไป ก็กล่าวถึงกิเลสภาระ เพราะเหตุว่าชีวิตที่เป็นไปตามธรรมดา ถ้าไม่มีกิเลสดีไหม ดีกว่าแน่นอน สบายกว่าไหม แต่ก็มีขันธภาะซึ่งเป็นกิเลสภาระ แล้วก็ต้องเป็นไปตามกำลังของกิเลสด้วย เป็นภาระหนักมาก เพราะกิเลสมีแต่ความติดข้อง ความไม่รู้ การแสวงหาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีวิตวันหนึ่งๆ มากด้วยกิเลสภาระ ถ้ากิเลสน้อยลง ภาระก็น้อย ก็แสดงให้เห็นถึงว่า ในบรรดาขันธภาระ กิเลสภาระเป็นภาระหนักมาก ไม่รู้เลย คิดว่า สบายดี สนุกดี แต่ความจริงทั้งหมดเป็นกิเลสภาระ เมื่อมีกิเลสแล้วก็มีเจตนา ความจงใจ ลำพังกิเลส แต่ไม่มีเจตนาที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ผลนั้นก็ไม่เกิด มีแต่สะสมความยินดีพอใจ แต่กิเลสก็เป็นขันธภาระ เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิด แต่เกิดเป็นกิเลส

        เพราะฉะนั้น กิเลสก็เป็นกิเลสภาระ ส่วนขันธภาระซึ่งเกิดขึ้นเป็นความจงใจก็มี ห้ามไม่ให้มีเจตนา ห้ามไม่ให้จงใจไม่ได้เลย และความจงใจก็เป็นไปตามขันธ์อื่นๆ ซึ่งเกิดร่วมกัน เพราะเหตุว่าสังขารขันธ์ ได้แก่เจตสิก ๕๐ มีทั้งโสภณเจตสิก อโสภณ มี ๒ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม เมื่อยังมีความจงใจที่จะกระทำ ย่อมนำมาซึ่งผล หยุดภาระได้ไหม ไม่ให้มีขันธ์เกิดขึ้น เพราะเหตุว่ายังมีเจตนา ความจงใจซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผล

        เพราะฉะนั้น เจตนาที่เป็นอกุศลก็เป็นเหตุให้เกิดขันธ์ ซึ่งเป็นวิบาก ซึ่งเป็นอกุศลวิบาก ทำให้เกิดในอบายภูมิ เป็นผลของอกุศลกรรม เป็นขันธ์แล้ว เป็นผลของอภิสังขารภาระแล้ว

        เพราะฉะนั้น เมื่อมีภาระ คือ เจตนาซึ่งทำให้ขวนขวายกระทำกรรมดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นเหตุให้เกิดผล คือ ทำให้มีภาระ เป็นขันธภาระต่อไป

        แสดงให้เห็นถึง อภิสังขารขันธะ ก็คือขันธ์นั่นเอง แต่กล่าวโดยกิเลสภาระ หรืออภิสังขารภาระนั่นเอง

        เดี๋ยวนี้มีภาระไหม อะไรบ้าง ขันธภาระก็มี กิเลสภาระก็มี อภิสังขารภาระก็มี แต่ถ้ามีอภิสังขารภาระที่ทำให้เกิดผล แต่ไม่เป็นภัย

        ทุกคนกลัวภัยมาก เกิดมาแล้วมีภัยมากมาย จะมีอุบัติเหตุ ข้าวยากหมากแพง โรคภัยต่างๆ น้ำท่วม ไฟไหม้ สารพัดภัย เกิดมาแล้วพ้นจากภัยไหม ไม่พ้น แต่ถ้ายังมีขันธ์อยู่ตราบใดก็ยังต้องมีภัย และภัยที่สำคัญ คือ ทุกขันธ์เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ดับเหตุปัจจัยแล้ว ภัยก็เกิดไม่ได้ ขันธ์ก็เกิดไม่ได้

        เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงภัยที่ทุกคนหวั่นเกรงมาก ไฟไหม้ น้ำท่วม โจรผู้ร้าย โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มาจากไหน ก็มาจากกิเลส กิเลสภาระ คือ อกุศลนั่นเองทำให้เกิดภัยต่างๆ

        ทุกอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวถึงสภาพธรรมะแต่ละหนึ่งโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง โดยสอดคล้องกัน ทั้งธรรมะเป็นเหตุเป็นผล และธรรมะที่ไม่ใช่เหตุไม่ใช่ผล เพื่อรู้ว่า เป็นธรรมะซึ่งเป็นอนัตตา หัวใจทั้งหมดคือเมื่อไรจะรู้ว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา เพราะธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา

        อ.วิชัย หมายความว่า เมื่อยังมีกิเลสอยู่ เป็นเหตุให้กระทำกรรมที่ให้ผลเป็นภัย ที่เป็นผลของอกุศลเจตนา

        ท่านอาจารย์ เป็นภัย แล้วถ้าเป็นโสภณเจตสิก เจตสิกฝ่ายดี และเป็นเจตนาที่จงใจในการทำกุศล เช่น ฟังธรรมในขณะนี้ ก็เป็นกุศลเจตนา เป็นกุศลกรรม ไม่นำมาซึ่งโทษภัยใดๆ แต่นำมาซึ่งการเกิด จึงไม่พ้นจากขันธภาระ

        เพราะฉะนั้น ใครเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมะทั้งหมดโดยสิ้นเชิง โดยประการทั้งปวง ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน ทั้งอนาคต ทั้งเหตุให้เกิดภาระ และเหตุให้พ้นจากภาระ ผู้ที่ได้ฟังก็รู้ในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ มิฉะนั้นก็อยู่ไปวันๆ ไม่มีโอกาสเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้เลย


    หมายเลข 10342
    30 ธ.ค. 2566