พระพุทธรัตนะเลิศที่สุด


        ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่มีพระธรรมคำสอน และก็ไม่มีผู้ที่จะรู้ตามความจริงได้เลย ดังนั้นพระพุทธรัตนะ จึงเลิศที่สุด


        ข้อความในพระไตรปิฎกเปรียบเทียบรัตนะทั้ง ๓ วันนี้ทุกคนนั่งอยู่ที่นี่ด้วยความสบาย เพราะมีแสงแดด ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์โลกจะมืด และไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ทรงอุปมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ และพระธรรม คือ แสงพระอาทิตย์อ่อนๆ ที่ไม่ทำร้าย และสัตว์โลกได้รับประโยชน์จากดวงอาทิตย์ เพราะถ้าไม่มีพระอาทิตย์จะมีแสงอาทิตย์ไหม จะมีใครได้รับประโยชน์บ้างไหม ก็ตายกันหมด แต่ที่ไม่ตายเพราะอะไร

        เพราะฉะนั้น ตายอย่างไร ตายเหมือนไม่มีคุณความดี คนชั่วเหมือนคนที่ตายแล้ว แม้มีทรัพย์สมบัติมาก แล้วไม่ได้แจกจ่ายทรัพย์สมบัตินั้นเลย แล้วตายไปจะลุกขึ้นมาแจกไม่ได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ความดีในแต่ละขณะที่ทำ

        เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงธรรมะมีจริงแน่นอน แต่ใครรู้ นี่สำคัญที่สุด ต่อให้อยู่มาในโลกแสนโกฏิกัปก็ไม่เคยรู้ว่า เป็นธรรมะ แม้ชาตินี้เองเกิดมาก็ไม่รู้ว่า เป็นธรรมะ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม

        เพราะฉะนั้น กล่าวถึงโพธิปักขิยธรรม ธรรมะที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจะ มีแน่นอน แต่ถ้าไม่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกิดแน่นอน และมีไม่ได้แน่นอนด้วย

        เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า แต่ละท่านที่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรม คิดถึงคุณของใคร ก็ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ได้ยินแม้คำว่า “ธรรมะ” และไม่รู้ด้วยว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ

        เพราะฉะนั้น ก็เป็นทราบอยู่ว่า ขณะใดเป็นปัญญาแม้เพียงเล็กน้อย ก็รู้ว่ามาจากไหน ถ้าไม่มีผู้แสดงผู้กล่าว ก็ไม่มีโอกาสเข้าใจเลย และยิ่งเป็นปัญญาที่เจริญขึ้น ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังได้พิจารณาจนเข้าใจจริงๆ ก็ไม่สามารถมีปัญญาระดับนั้นได้ แม้แต่คำที่กล่าวว่า ขณะนี้มีแข็ง ก็ได้ยิน แข็งก็มี แต่ที่จะรู้ว่า แข็งเกิดแล้วดับ จึงไม่ใช่เรา และไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีโอกาสที่ปัญญาระดับนั้นจะเกิดได้ แม้แต่สติสัมปชัญญะที่เป็นขั้นที่ต่อจากปริยัติ คือหลังจากรอบรู้มั่นคงเป็นสัจญาณ ไม่ได้รอเวลาว่า ถ้านั่งตรงนี้พยายามอย่างนี้แล้วจะรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง นั่นผิด เพราะเหตุว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ต้องใช้คำว่า “เข้าใจจริง” ว่า ธรรมะหมายความถึงสิ่งที่มี เกิดแล้วดับ ไม่เป็นของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร คำพูดเหล่านี้ทั้งหมดเป็นความจริงเมื่อประจักษ์แจ้งหรือเมื่อค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะนั้น ก็จะรู้ว่า ความจริงตรงตามทุกคำที่ทรงแสดง แม้แต่ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง เมื่อแต่ละหนึ่งปรากฏเป็นหนึ่ง ไม่สับสนกับสภาพธรรมะอื่น และในขณะที่สติสัมปชัญญะเริ่มเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มี แต่ถ้าไม่เข้าใจขั้นปริยัติที่รอบรู้จริงๆ มั่นคงจริงๆ เป็นสังขารขันธ์จริงๆ ไม่รู้ว่า เมื่อไร วันไหน ขณะไหนจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะอะไรที่มีจริงๆ ในขณะนี้ได้ เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก

        เพราะฉะนั้น ข้างหน้าไม่รู้เลยว่า ปัญญาจะเกิดขึ้นระดับไหนแล้วค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมะนั้นมากน้อยเพียงใด แต่ทั้งหมดก็มาจากคำที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงจากการตรัสรู้แล้ว

        เพราะฉะนั้น ขณะนั้นจะระลึกถึงใคร หรือคุณของใคร อุปติสสมานพเมื่อยังไม่ได้เป็นท่านพระสารีบุตร ได้พบกับท่านพระอัสชิ ถามถึงใครเป็นศาสดา แม้แต่ท่านพระอัสชิก็กล่าวว่า คำนั้นเป็นคำของใคร

        เพราะฉะนั้น แต่ละคนที่กล่าวธรรมะ พูดถึงความจริงทั้งหมดก็ต้องรู้ว่าเป็นคำของใคร

        ด้วยเหตุนี้มีข้อความในพระไตรปิฎกว่า ไม่ว่าใครจะกล่าวความจริง และคำจริงใดๆ ทุกคำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใครจะรู้ความจริงนั้นๆ เมื่อรู้ความจริงนั้นแล้ว ก็แล้วแต่แต่ละท่านว่า สามารถกล่าวคำจริงนั้นด้วยการสะสมมาที่จะเข้าถึงความจริงนั้นโดยลักษณะที่หลากหลายต่างกันอย่างไร จึงมีคำของพระเถระ และพระเถรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก

        นี่ก็แสดงให้เห็นว่า คำจริงทั้งหมดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะกล่าวในยุคใด สมัยใด


    หมายเลข 10312
    31 ธ.ค. 2566