เสมอกันโดยความไม่มีสาระ


        ผู้ถาม แล้วในกรณีที่จิตสงบ มันอยู่ตรงไหน

        สุ. สงบคือในขณะที่ไม่มีอกุศลใดๆ เลย ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เพราะฉะนั้นใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วย สงบจากอกุศลเจตสิก กุศลทุกประเภทสงบจากอกุศล แต่ว่าอายุสั้นมากเล็กน้อยมาก เพราะเหตุว่าชั่ว ๗ ขณะ อย่างขณะนี้ถ้าจะกล่าวว่าเห็น ๑ ขณะ ถ้าเป็นกุศล ๗ ขณะ แต่ก็สั้นมากเหลือเกิน เพราะฉะนั้นก็ไม่ปรากฏ สภาพธรรมใดที่เกิดแล้วดับแล้วโดยสติสัมปชัญญะไม่ได้รู้ลักษณะนั้น สิ่งนั้นก็ดับไปโดยไม่รู้ ที่ได้กล่าวถึงในตอนต้นว่าไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมใดก็ตามเมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิด ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม เสียงในป่าก็มี ต้นไม้ข้างนอกก็เกิด เพราะอุตุ สิ่งใดที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ แม้ว่าใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ส่วนสิ่งใดที่เกิดดับ แต่ปรากฏมีจิตที่รู้สิ่งนั้นก็เหมือนกันเลยไม่ว่าจะจิตรู้หรือไม่รู้ สภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยก็ดับเหมือนกัน สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วโดยไม่รู้มี จักขุปสาทเกิดแล้วดับแล้ว ไม่มีใครไปรู้จักขุปสาท โสตปสาท และก็สภาพธรรมใดที่เกิดปรากฏกับจิตขณะใด สิ่งนั้นก็ดับด้วย

        เพราะฉะนั้นสองอย่างจะต่างกันหรือเหมือนกันโดยความไม่มีสาระ ไม่ว่าสิ่งที่จะเกิด ดับโดยไม่ปรากฏหรือสิ่งที่เกิดดับแต่ปรากฏก็เหมือนกัน คือว่าไม่มีสาระเลย นอกจากเกิดแล้วดับ แต่สิ่งที่ปรากฏเป็นปัจจัยให้จิตเกิดติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นโลภะชอบอะไร สิ่งที่ปรากฏทางตา เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แม้เรื่องราวความคิดนึกสนุกสนานต่างๆ โลภะติดข้องได้ทุกอย่าง เว้นโลกุตรธรรม นี่ก็แสดงให้เห็นว่าวันหนึ่งๆ โลภะเกิดแล้วติดข้องแล้วในสิ่งที่ปรากฏโดยฐานะที่เป็นอาสวะคือไม่ได้ปรากฏ อย่างฐานะที่เป็นนิวรณธรรมที่พัวพันจนกระทั่งปรากฏลักษณะที่กำลังติดข้องมากมาย ไม่ว่าจะในความโกรธ หรือในความต้องการ หรือในความสงสัยก็ได้ ก็ทำให้คิดอยู่นั่นแล้วสงสัยอยู่นั่นแล้ว นั่นก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นนิวรณธรรมไม่ใช่อาสวะ แต่ถ้าเป็นอาสวะ เราจะไม่รู้สึกตัวเลย เห็นแล้วแต่ยังไม่ดับ จิตเกิดขึ้นติดข้องเพราะอนุสัยกิเลสที่สะสมมาหรือไม่พอใจก็ได้หรือโมหะก็ได้ ทั้งหมดก็เป็นอนุสัยกิเลสที่มีกำลังคือทันทีที่อารมณ์ปรากฏ อกุศลเจตสิกเหล่านี้ก็เกิดขึ้นทำกิจการงานฝ่ายอกุศล

        ผู้ถาม ในกรณีที่อาจารย์บรรยายจะรู้หรือไม่รู้ก็ตามก็เป็นอย่างนั้น

        สุ. ก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ถ้าไม่รู้ก็เกิดแล้วดับแล้ว ถ้ารู้เกิดปรากฏแล้วติดข้อง ที่เรากำลังเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง เกิดปรากฏแล้วติดข้อง แต่ส่วนสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับโดยไม่ปรากฏ ขณะนั้นโลภะก็ไม่ได้เกิดติดข้องในสิ่งนั้น ใครติดข้องในจักขุปสาทบ้าง จักขุปสาท ถ้าไม่ปรากฏจะติดข้องไหม หรือติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏให้เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นดอกไม้ เป็นสิ่งต่างๆ ที่น่าพอใจ นี่คือความติดข้อง จะใช้คำว่าลื่นไหลไปตลอดเวลาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ได้ ไม่ติดข้องเลยที่จะช้า ไม่รีรอเลย ทันทีที่มีการเห็นก็ติดข้องไปแล้วๆ แต่ว่าจะเป็นโลภะ ถ้าเป็นโทสะก็ขุ่นใจ

        ผู้ถาม ถ้าอย่างนั้นหมายความว่าการที่เราฟังให้เข้าใจรู้ตามความเป็นจริงว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาคือเป็นสีที่ปรากฏเท่านั้น

        สุ. เท่านี้ ให้เข้าใจ

        ผุ้ถาม ถ้าเราปรุงแต่งก็ไปเลอะเทอะ

        สุ. ทั้งวัน ทะเลภาพทั้งหมด

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 182


    หมายเลข 10204
    25 ม.ค. 2567