เพียงโลกหนึ่งซึ่งปรากฏ


    ผู้ถาม  จะเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ เกี่ยวกับเรื่องการตรึกนึกถึงรูปสัณฐาน  สมมุติว่าเส้นทางที่ผมเดินไปทำงาน ผมได้ผ่านต้นดอกแก้ว ได้กลิ่น แล้วผมกระทบกลิ่น ก็ไปแปลความหมายว่า กลิ่นดอกแก้ว กระผมก็คิดว่า มันมีกลิ่น แล้วมันก็เปลี่ยนไปทันที ว่าคิดเลย ว่านี่คือกลิ่นดอกแก้ว ผมก็มอง แล้วมันอาจจะเป็นได้ว่า พอใจว่ากลิ่นหอม ผมก็มองว่า การเป็นอย่างนี้ เราควรจะพิจารณาในฐานะที่เรามาฟังธรรมอย่างไร

    ส.   ตามธรรมดาก็ทราบอยู่ว่า จิตมีทางที่รู้อารมณ์ได้ ๖ ทาง ทางตาเห็น ทางจมูกได้กลิ่น แล้วทางใจก็คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น อย่าพยายามไปเร่งสติให้ระลึก ให้รู้ เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าให้เข้าใจธรรมะขึ้น  เมื่อเข้าใจธรรมะขึ้น แล้วแต่จะอยู่ที่ไหน เหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น สถานการณ์จะเป็นอย่างไร ถ้าสติมีปัจจัยจะเกิดก็เกิด แล้วปัญญาก็ค่อยๆ เข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนี้ แม้แต่เดี๋ยวนี้ เราไม่ต้องไปพูดถึงดอกแก้ว  ไม่มีดอกแก้วแล้ว ไม่มีกลิ่นแล้ว แต่ขณะนี้มีสภาพธรรมะกำลังปรากฏ ลักษณะจริงๆ จริงแท้ของสิ่งที่ปรากฏ ก็คือ เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่ง เพราะเหตุว่ามีลักษณะปรากฏให้เห็นทางตา สิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ว่าในขณะที่กำลังปรากฏให้รู้ ก็เพราะเหตุว่ามีจิตซึ่งเกิดขึ้นต้องกระทบกับรูปนั้น โดยอาศัยจักขุปสาท ทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น นี่คือความเข้าใจถูก

    เพราะฉะนั้น ก็เก็บความเข้าใจถูกนี้ ให้เป็นสัญญาความจำที่มั่นคงขึ้นว่า จริงๆ แล้วในขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วหลังจากนั้นก็มีการนึกคิดเรื่องราวต่างๆ จากสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ว่าภพไหนชาติไหนก็เป็นอย่างนี้ คือ เมื่อมีสิ่งใดปรากฏทางตา ก็จะมีการเอาเรื่องราว คน สัตว์ บุคคล สัณฐานต่างๆ โดยการทรงจำในสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นสิ่ง หนึ่งสิ่งใด แม้แต่ว่าเป็นดอกแก้ว หรือว่าต้นแก้ว หรือเป็นถนนหนทางที่กำลังเดิน แท้ที่จริงแล้วจิตเกิดดับเร็วมาก จนกระทั่งทำให้สืบต่อกันเหมือนมีคนจริงๆ ที่กำลังเห็น กำลังคิด และกำลังเดิน แต่ถ้าแยกย่อยขณะนี้ให้ละเอียดยิบ จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมาก แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเร็วมาก แต่ซ้อนๆ กันโดยที่ว่า จิตเกิดดับสลับ จนกระทั่งเหมือนกับปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรมะให้ถูกต้อง ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ปรากฏ แต่เปลี่ยนแปลงความไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจว่า แท้ที่จริงเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็ปรากฏอย่างนี้แหละทางตา แต่ว่าเมื่อปรากฏแล้ว แล้วแต่ใจจะคิด ใจจะคิดถึงอะไรก็ได้จากสิ่งที่ปรากฏ แล้วเป็นอย่างนี้ตลอดมาในสังสารวัฏ แล้วต่อไปก็จะเป็นอย่างนี้

    เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตามี ความเห็นถูกก็คือ รู้ว่าเป็นธรรมะชนิดหนึ่งซึ่งปรากฏได้ทางตาเท่านั้น ไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก นี่เป็นโลกๆหนึ่งซึ่งมีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ในขณะใดที่เห็น ขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่นเลย นี่คือความรู้ที่ต้องลึกลงไปอีก ตามความจริงเป็นอย่างนี้ กำลังเห็น ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีอะไรปรากฏเลย มีแต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้นที่ปรากฏ ถ้าไม่นึกถึงอะไรเลย ก็ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเข้าใจด้วยว่า ถ้าปัญญาที่สามารถจะประจักษ์แจ้งความจริงต้องประจักษ์อย่างนี้ว่า ไม่มีอะไรอื่น แต่ทีนี้ทุกคนทรงจำไว้หมดตั้งแต่เกิดจนตาย เต็มไปด้วยเรื่องราว ทั้งเรา ทั้งเขา เต็มไปหมด ยังมีตัวของเราที่กำลังนั่งแล้วก็เห็น นี่คือความทรงจำที่เป็นอัตตสัญญา แต่ที่จะเป็นอนัตตสัญญาได้จริงๆ คือความรู้ต้องมั่นคงด้วยสติที่ระลึก แล้วก็ทรงจำอย่างมั่นคงว่า ขณะใดที่มีสิ่งใดปรากฏทางหนึ่งทางใด ทางอื่นไม่มีทั้งหมด เพราะว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ  สั้นแค่ไหน  ระหว่างจิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยิน รูปดับไปแล้ว เพราะเหตุว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ แล้วจิตที่เห็นกับจิตที่ได้ยินห่างกันเกิน ๑๗ ขณะ

    เพราะฉะนั้น รูปที่ตัวทั้งหมดที่คิดว่า มี ถ้าไม่ปรากฏ เกิดแล้วดับแล้วหมด จึงไม่มีเรา ไม่มีเราเหลือเลย  มีแต่ชั่วขณะหนึ่งที่สภาพธรรมะหนึ่งปรากฏทางตา หรือว่าปรากฏทางหู หรือว่าปรากฏทางจมูก ปรากฏทางลิ้น ปรากฏทางกาย ปรากฏทางใจ สภาพธรรมทั้งหมดที่ได้ยินได้ฟัง  จะปรากฏกับปัญญาที่ได้อบรมแล้วเท่านั้น ตามความเป็นจริง ไม่เป็นอย่างอื่น

    เพราะฉะนั้น ผู้นั้นก็สามารถที่จะรู้หนทางว่า การที่จะละความเป็นตัวตน จากสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจได้จริงๆ นั้น ก็ด้วยการฟังจนกระทั่งเข้าใจ แล้วก็มีปัจจัยให้สติเกิด ก็ยังต้องอบรมการที่จะเข้าใจให้ถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏให้ตรงตามที่ได้ฟัง จนกว่าจะมีการคลายความไม่รู้ คลายการที่ถือนิมิตอนุพยัญชนะว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วก็รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นเรื่องของทางใจที่คิดนึก เพราะฉะนั้นจึงเป็นจีรกาลภาวนา ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ อบรมไป

    ผู้ถาม  หมายถึงว่า อย่างสมมุติว่า การเห็น ถ้าเราไม่ไปคิดว่านี่คือ ตู้ โต๊ะ ไมโครโฟน หรือเป็นพระพุทธรูป ก็คือมันเป็นแค่เห็น เหมือนกับถัดจากเห็น เราไปโฟกัสที่จุดนั้น  ใช่ไหมครับ

    ส.   ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า  ข้อสงสัยทั้งหมด ต้องพิจารณาแล้วตอบว่า ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ต้องเป็นความรู้ของเราเอง ถ้าถามคนอื่นเขาตอบ เขาก็บอกมาแล้ว ในพระไตรปิฎกก็บอกทุกหน้าเลย จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ แยกไปชั่วขณะ แต่ละสภาพธรรมะที่ปรากฏ แต่ถ้าเราไตร่ตรองจริงๆ จากพระธรรมที่ได้อ่าน พร้อมทั้งระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ พิสูจน์ว่า เราเข้าใจจริงๆ อย่างนั้นหรือยัง ทางตา มีสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างอื่นไม่ปรากฏเลยในขณะที่เห็น ต้องเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ

    ผู้ถาม  ไม่นึกถึงสัณฐานว่าเป็น รูปทรงอะไร ที่เรา

    ส.   นั่นคือความคิดนึก ไม่ต้องเห็นก็คิดได้ อย่างจำ หลับตาแล้วก็คิดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ จะคิดถึงบ้าน จะคิดถึงถ้วยแก้ว จะคิดถึงอะไรก็ได้ แต่สีสันวัณณะไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น จึงเป็นสภาพธรรมะที่ต่างกัน เริ่มรู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาต้องอาศัยจักขุปสาทเท่านั้นจริงๆ จึงปรากฏได้  เพียงไม่มีจักขุปสาท สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ นึกเท่าไรก็ไม่เป็นอย่างนี้ ไม่เหมือนกับที่กำลังเห็น

    เพราะฉะนั้นเวลาที่คิด ไม่ใช่เวลาที่เห็น คนละขณะ


    หมายเลข 10097
    17 ก.ย. 2558