ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๗๑

 
khampan.a
วันที่  30 ธ.ค. 2555
หมายเลข  22262
อ่าน  2,096

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๑]

ในขณะที่ขาดความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ (ผู้ประพฤติประเสริฐ) แม้เพียงเล็กน้อยเท่านี้ ก็แสดงให้เห็นถึงการไม่เจริญของกุศล เพราะเหตุว่า เมื่อไม่เคารพในเพื่อนพรหมจรรย์ ก็คือขณะนั้น ไม่กระทำเพื่อละคลายกิเลส

การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย และความดี เพียงความนอบน้อม ความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์เท่านั้นยังทำไม่ได้ และสิ่งที่ยากกว่านั้นคือการที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร

ถ้ายังมีลิ่มสลักติดอยู่ ไม่เอาลิ่มสลักออก ทุกคนก็ยังจมอยู่ในอวิชชา ยังไม่สามารถจะออกไปจากอวิชชาได้

การที่จะให้ชีวิตซึ่งเกิดมาชั่วคราว แล้วก็ตายไป ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควร ก็ต้องแล้วแต่ว่า กำลังของปัญญา เพราะเหตุว่าชีวิตของแต่ละท่านที่จะดำเนินไป ดำเนินไปด้วยกำลังของอวิชชา หรือว่าด้วยกำลังของปัญญา?

ผู้มีปัญญาเท่านั้น เป็นผู้มีความอดกลั้นต่อความเสียหายที่ผู้อื่นกระทำ ผู้มีปัญญาทราม ไม่เป็นผู้อดกลั้น กาย วาจาที่ไม่ดีของคนอื่น ขณะใดที่อดกลั้น อดทน ไม่โกรธ ไม่ขุ่นเคือง ขณะนั้นให้ทราบว่า เพราะขันติ และถ้ามีบ่อยๆ ก็จะเป็นความไม่ยาก ไม่ลำบากต่อการที่จะกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจหรือว่ากายวาจาที่ไม่ดีของคนอื่น

ถ้าไม่มีความอดทน กุศลก็เกิดไม่ได้ บารมีก็เต็มเปี่ยมไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นใคร มีหน้าที่อะไรที่จะต้องทำ ก็ไม่ควรลืมกิจที่จะต้องกระทำ คือ ขัดเกลากิเลสของตนเอง

พึงเห็นความสำคัญของศาสตรา คือ ปัญญา การที่จะให้กิเลสที่ทุกคนมี ดับหมดไป ไม่เกิดอีก ก็เพราะปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว จะดับกิเลสได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้

พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ทำให้ผู้ฟัง เกิดปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่ให้เกิดความไม่รู้เลย ยิ่งศึกษาก็จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม และเหตุผลของสภาพธรรมนั้นๆ ยิ่งขึ้น จึงจะเป็นพระพุทธศาสนาคือเป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

การฟังธรรมก็จะต้องมีความอดทนเพิ่มขึ้น คือพิจารณาในเหตุในผลที่ถูกต้องจนกระทั่งสามารถที่จะเห็นประโยชน์และเจริญกุศลยิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้วก็เพียงฟังแล้วไม่พิจารณาด้วยความแยบคาย ก็จะทำให้ประพฤติผิดปฏิบัติผิดได้

ผรุสวาจา คำหยาบคาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ศึกษาธรรมก็เว้น ก็ไม่ค่อยจะได้ยินใครกล่าวผรุสวาจา แต่ว่าคำอื่นที่แม้ไม่ใช่ผรุสวาจา แต่ว่าทำร้ายจิตใจของคนอื่นมีไหม ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ เพราะว่าแม้แต่คำที่เย่อหยิ่ง คำพูดที่ยกตน โดยที่อาจจะไม่รู้ตัวเลย

ถ้าคำนั้นเป็นคำที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่สบายใจ และผู้พูดเป็นผู้พูดคำนั้นด้วยความเย่อหยิ่ง แม้ว่าไม่ใช่คำหยาบ แต่ขณะนั้นก็จะรู้ได้ว่า คำนั้นทำร้ายคนอื่น

ปัญญาอยู่ที่ใด ที่นั่นไม่มีอกุศล ไม่มีโลภะ แต่ถ้าปัญญายังไม่เกิดในที่ใด ที่นั้นที่จะไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ หรืออกุศลต่างๆ เป็นไปไม่ได้

พระธรรมนั้นไม่ใช่เพื่อโลภะ เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ เพื่อสุข เพื่อสักการะ แต่ต้องเป็นไปเพื่อปัญญา

ความโกรธ เกิดขึ้นเมื่อใด ก็กั้นไม่ให้กุศลธรรมเกิดขึ้นเมื่อนั้น

ความดีที่แต่ละคนกระทำ นี้แหละ ที่จะเป็นเครื่องบูชา จะเอาความชั่วไปบูชา ไม่ได้

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อความหมดจดจากความไม่ดี คือ กิเลสทั้งหลายทั้งปวง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบรมครูของผู้ที่ได้ฟังและเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้ได้เข้าใจความจริงทั้งหมด

ชื่นชมในความดีที่ผู้อื่นกระทำ นี้แหละ คือ อนุโมทนา

เพราะสะสมมาไม่ดี จึงริษยาเมื่อผู้อื่นได้ดี มีความสุข ขณะนั้นตนเองเท่านั้นที่เดือดร้อน ไม่สบายใจคนที่ถูกริษยา มีความสุขดี ได้รับผลของกุศลกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้แล้ว

เริ่มต้น ด้วยการฟังพระธรรม

การบ่น ไม่มีประโยชน์

ทุกอย่างสำคัญที่จิต ถ้าจิตดีขณะนั้น กายจะไม่ดีก็ไม่ได้ วาจาจะไม่ดีก็ไม่ได้เพราะจิตเป็นกุศล

เกลี่ยธุลี เกลี่ยสิ่งสกปรกลงในจิต ทุกขณะที่เป็นอกุศล

เวลาดี คือ เวลาที่กุศลจิตเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เวลาทำให้ดี แต่ดีเพราะกุศลเกิดขณะที่กุศลจิตเกิด กาย วาจา ก็เป็นไปตามจิตที่เป็นกุศล

เข้าใจพระธรรม จะทำให้ละชั่ว.

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๗๐ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๐

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตร่วมปันธรรมด้วย ครับ

- ขณะนี้มีธรรมอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ขาดแต่เพียงสติและปัญญาที่จะรู้ (ปฏิบัติ) ดังนั้น เหตุให้เกิดการปฏิบัติ หรือสติและปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในเรื่องของสภาพธรรม เมื่อปัญญาเจริญขึ้นทีละน้อย ขณะนั้นเริ่มอบรมแล้ว จนเหตุปัจจัยพร้อม สะสมมามากแล้ว สติและปัญญาก็รู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ปฏิบัติแล้วในชีวิตประจำวัน ใครปฏิบัติ เรา หรือ ธรรม ต้องเป็นธรรม คือ สติและปัญญา ปฏิบัตินั่นเอง ทำกิจหน้าที่ เพราะมีแต่ธรรม ไม่ใช่เรา ตามความเป็นจริง ธรรมจึงมีค่าสำหรับผู้ที่เข้าใจ และธรรมที่เป็นอสัทธรรมคือธรรมไม่ถูกต้อง ไม่มีค่าและมีโทษสำหรับผู้ไม่เข้าใจและทำในสิ่งนั้น

- สิ่งที่มีค่าในการดำรงชีวิตอยู่ คือการเจริญกุศลและอบรมปัญญา ที่เป็นศีลสาระ สมาธิสาระและปัญญาสาระ และการใช้ชีวิตที่ประเสริฐอย่างมีคุณค่า คือการมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เพราะปัญญาย่อมเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางให้กับผู้ที่ดำรงชีวิตประจำวันในความเป็นมนุษย์ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งทางกาย วาจาและใจ ด้วยปัญญาเป็นผู้ชี้ทาง ดังนั้น การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและประเสริฐในพระพุทธศาสนา คือการมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ซึ่งปัญญาจะมีได้ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิตที่มีคุณค่า คือการเจริญกุศลทุกประการและอบรมปัญญา มีคุณค่าเพราะมีสิ่งที่มีคุณค่าเกิดที่ใจ คือคุณความดีและปัญญา

- ชีวิตเหลืออีกเท่าไร อยู่เพื่อเข้าใจธรรมะจริงๆ จนกว่าจะได้ตรึกถึงลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ แต่ละขณะ ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญาทั้งหมดซึ่งต้องอดทนฟังให้เข้าใจ และกว่าที่จะค่อยๆ น้อมมาเข้าใจลักษณะสภาพธรรมจริงๆ ซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความมั่นคงจริงๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏมั่นคงขึ้นๆ สักวันหนึ่งเมื่อได้ฟังพระธรรม ความเข้าใจที่สะสมมาสามารถที่จะตรึกถึงลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังเดินทางอยู่หรือเปล่า กำลังเป็นมรรคหรือเปล่า ทุกขณะเดี๋ยวนี้ทุกคนกำลังเดินทาง กำลังเดินทางไปสู่ทางกุศล หรืออกุศล หรือกำลังเดินทางไปสู่การรู้ลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง

- คุณประโยชน์ของปัญญาขั้นฟัง ทรงจำ ไตร่ตรอง และประพฤติตาม แม้ฟังเข้าใจและทรงจำไว้เพียงบางส่วนในธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา แต่เมื่อพิจารณาประกอบกัน ผลต้องมาก เพราะสาระจากพระธรรมแต่ละคำเป็นสิ่งมีประโยชน์ ทรงจำไว้ ไตร่ตรองให้เข้าถึงอรรถและประพฤติตาม จะดับกิเลสได้เพราะฟัง เห็นโทษอกุศลจากคนไม่ดีเริ่มเป็นคนดี ดีที่สุด คือ หมดกิเลสด้วยปัญญา

- มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ต่างคนต่างตอบ ผู้มีปัญญาเท่านั้น มีชีวิตอยู่เพื่อความรู้ปรากฏ รู้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้จริงๆ เพราะไม่รู้ตลอดมาในสังสารวัฏฏ์ เห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมมีปัจจัยเกิดแล้วดับ ผู้มีปัญญาจึงสามารถเข้าถึงมีชีวิตอยู่เพื่อความรู้ปรากฏ มีชีวิตเพื่อเข้าใจธรรม เมื่อเข้าใจแล้ว ความรู้จะปรากฏตามลำดับขั้นของความเข้าใจนั้น

- เมื่อมีกิเลสมากจะกล่าวว่าใจเย็นไม่ได้ เพราะกิเลสเกิดขึ้นในใจไม่ได้แสดงออกก็ได้ จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เมื่อได้ยินคำพูดไม่ดี ก็เกิดโกรธ โมโหมาก เพราะกิเลสที่สะสมมามากทุกคำ คือขณะที่ฟังเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีลักษณะของธรรม ก็ไม่มีคำที่พูดถึงธรรมนั้นๆ ตัวธรรมก็มีจริง อรรถก็กล่าวถึงลักษณะของธรรมนั้นก็จริง จุดประสงค์แท้ของการฟัง คือเพื่อเข้าใจจนประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมที่ปรากฏ เพื่อละอกุศล โลภะ อวิชชา

- มีคนเป็นจำนวนมากเมื่อไม่มีความเข้าใจพระธรรมอย่างแท้จริง มักจะคิดว่าจะนำธรรมมาใช้เพื่อให้หายเครียด ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวว่า จะนำธรรมมาจากที่ไหนมาใช้ เครียดก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง การจะพึ่งพระธรรมจึงต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ ทุกอย่างเป็นธรรม ฟังจนกว่าทุกอย่างเป็นธรรมจริงๆ เครียดไม่ใช่เรา เครียดเป็นธรรม ความเข้าใจเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่ง โรคอะไรร้ายกว่าเครียด? โรคของความติดข้องโรคโลภะร้ายกว่าโรคเครียด ความทุกข์ที่กำลังประสพอยู่ในโลกนี้ ที่คิดว่าทุกข์แสนสาหัสก็ยังไม่เท่าทุกข์ในนรก

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
j.jim
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ธนัตถ์กานต์
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย และความดีเพียงความนอบน้อม ความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์เท่านั้นยังทำไม่ได้ และสิ่งที่ยากกว่านั้นคือการที่จะประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จะเป็นไปได้อย่างไร
การเจริญสติปัฏฐานนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องให้ท้อถอยเลย สภาพธรรมที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่สามารถจะแทงตลอดในสภาพที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ได้ ในขณะที่พิจารณารู้อย่างนี้ว่าประโยชน์นี้เราทั้งหลายควรบรรลุได้ก็ย่อมไม่หมดหวัง เมื่อรู้ว่าเป็นสิ่งที่ควรบรรลุได้วันหนึ่ง แม้ยังไม่ใช่วันนี้ อย่าเป็นห่วงว่าจะไม่สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมได้ในวันนี้ เพราะสติสามารถจะเริ่มระลึกได้ในวันนี้ ส่วนการที่จะประจักษ์แจ้งและแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรม ย่อมจะต้องเป็นวันหนึ่ง ในเมื่อวันนี้สติสามารถจะเกิดระลึกรู้ได้

...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และ อ.ผเดิม ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
บรรพต
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เข้าใจ
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 30 ธ.ค. 2555

"ไม่ว่าจะเป็นใคร มีหน้าที่อะไรที่จะต้องทำ ก็ไม่ควรลืมกิจที่จะต้องกระทำ คือขัดเกลากิเลสของตนเอง"

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
rrebs10576
วันที่ 31 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 31 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
daris
วันที่ 31 ธ.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 31 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
natural
วันที่ 31 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pat_jesty
วันที่ 1 ม.ค. 2556

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
jaturong
วันที่ 2 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
orawan.c
วันที่ 2 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
kinder
วันที่ 2 ม.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
nong
วันที่ 4 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
panasda
วันที่ 29 ก.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
papon
วันที่ 6 พ.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
เจียมจิต
วันที่ 3 ก.ย. 2560

กราบอนุโมทนาอย่างสูงค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
เจียมจิต
วันที่ 3 ก.ย. 2560

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ