สัตว์ดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา

 
pirmsombat
วันที่  18 ส.ค. 2554
หมายเลข  18977
อ่าน  1,994

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 218

สัตว์ดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา

[๕๑] คำว่า เราย่อมเห็น.... ดิ้นรนอยู่ในโลก มีความว่า

คำว่า ย่อมเห็น คือ ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู

ด้วยมังสจักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง ปัญญาจักษุบ้าง พุทธจักษุบ้าง สมันตจักษุบ้าง

คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก

ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก.

คำว่า ดิ้นรนอยู่ คือ เราย่อมเห็น ย่อมแลดู. ตรวจดู เพ่งดู

พิจารณาดู ซึ่งหมู่สัตว์นี้ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย หวั่นไหว

เอนเอียง กระสับกระส่ายอยู่

ด้วยความดิ้นรนเพราะตัณหา

ด้วยความดิ้นรนเพราะทิฏฐิ

ด้วยความดิ้นรนเพราะกิเลส

ด้วยความดิ้นรนเพราะความประกอบ

ด้วยความดิ้นรนเพราะผลกรรม

ด้วยความดิ้นรนเพราะทุจริต

ด้วยราคะของผู้กำหนัด

ด้วยโทสะของผู้ขัดเคือง

ด้วยโมหะของผู้หลงแล้ว

ด้วยมานะเป็นเครื่องผูกพัน

ด้วยทิฏฐิที่ยึดถือไว้

ด้วยความฟุ้งซ่านที่ฟุ้งแล้ว

ด้วยความสงสัยที่ไม่แน่ใจ

ด้วยอนุสัยที่ถึงกำลังด้วยลาภ ด้วยความเสื่อมลาภด้วยยศ ด้วยความเสื่อมยศ

ด้วยสรรเสริญ ด้วยนินทา ด้วยสุข ด้วยทุกข์

ด้วยชาติ ด้วยชรา ด้วยพยาธิ ด้วยมรณะ ด้วยโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส

ด้วยทุกข์คือความเกิดในนรก ด้วยทุกข์คือความเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน

ด้วยทุกข์คือความเกิดในวิสัยแห่งเปรต

ด้วยทุกข์คือความเกิดในมนุษย์ ด้วยทุกข์มีความเกิดในครรภ์เป็นมูล

ด้วยทุกข์มีความทั้งอยู่ในครรภ์เป็นมูล ด้วยทุกข์มีความตลอดจากครรภ์เป็นมูล

ด้วยทุกข์อันติดตามสัตว์ที่เกิดแล้ว ด้วยทุกข์อันเนื่องแห่งผู้อื่นแห่งสัตว์ผู้เกิดแล้ว

ด้วยทุกข์อันเกิดแต่ความขวนขวายของตน

ด้วยทุกข์อันเกิดแต่ความขวนขวายของผู้อื่น

ด้วยทุกข์อันเกิดแต่ทุกขเวทนา

ด้วยทุกข์อันเกิดแต่สังขาร

ด้วยทุกข์อันเกิดแต่ความแปรปรวน

ด้วยทุกข์เพราะโรคทางจักษุ โรคทางโสตะ โรคทางฆานะ โรคทางชิวหา โรคทางกาย

โรคทางศีรษะโรคทางหู โรคทางปาก โรคทางฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไร้หวัด

โรคไข้พิษ โรคไข้เชื่อมซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด

โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ

โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด โรคหูด

โรคละลอก โรคคุดทะราดบวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีกำเริบ

โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง

ด้วยอาพาธมีดีเป็นสมุฏฐานอาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน

อาพาธสันนิบาต อาพาธเกิดแต่ฤดูแปรปรวน

อาพาธเกิดขึ้นเพราะการบริหารไม่สม่ำเสมอ

อาพาธเกิดขึ้นแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธเกิดแต่ผลกรรม

ด้วยความหนาว ด้วยความร้อน ด้วยความหิว ด้วยความกระหาย

ด้วยปวดอุจจาระ ด้วยปวดปัสสาวะ

ด้วยความทุกข์เกิดแต่สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน

ด้วยทุกข์เพราะความตายแห่งมารดา ด้วยทุกข์เพราะความตายแห่งบิดา

ด้วยทุกข์เพราะความตายแห่งพี่ชายน้องชาย

ด้วยทุกข์เพราะความตายแห่งพี่สาวน้องสาว

ด้วยทุกข์เพราะความตายแห่งบุตร

ด้วยทุกข์เพราะความตายแห่งธิดา

ด้วยทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งญาติ

ด้วยทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งโภคทรัพย์

ด้วยทุกข์เพราะความฉิบหายอันเกิดแต่โรค

ด้วยทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งศีล

ด้วยทุกข์เพราะความฉิบหายแห่งทิฏฐิ

เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า เราย่อมเห็น....ดิ้นรนอยู่ในโลก.__


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 18 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 217

[๕๐] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-

เราย่อมเห็นหมู่สัตว์นี้ ผู้ไปในตัณหาในภพทั้ง

หลายดิ้นรนอยู่ในโลก นรชนทั้งหลายที่เลวยังไม่ปราศจาก

ตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมร่ำไรใกล้ปากมัจจุ.

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เพราะมีกิเลส คือ ตัณหา ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ จึงมีการเกิดโดยสมมติ คือ สัตว์ทั้งหลาย

จึงมีการเกิดและตายไม่สิ้นสุดในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายจึงดิ้นรนเป็นไป

ในการเกิดการตายในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานไม่สิ้นสุด และเมื่อมีการเกิดแล้ว เพราะมี

ตัณหา ความติดข้อง มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสและทุกๆ

อย่างๆ สัตว์ทั้งหลายจึงต้องประสบทุกข์กับความติดข้อง เมื่อสิ่งนั้นแปรปรวนไป ย่อม

ดิ้นรนเพราะทุกข์นั้นที่เกดขึ้น และเมือ่มีตัณหา ก็ย่อมมีการแสวงหาสิ่งต่างเพื่อความ

ต้องการของตัณหาที่เกิดขึ้น ก็ย่อมดิ้นรนไปเพื่อให้ได้รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบ

สัมผัสที่ดี ย่อมดิ้นรนเพื่อให้ได้เงิน ได้ทรัพย์ ได้ชื่อเสียงด้วยอำนาจของตัณหา ย่อม

ดิ้นรนเพื่อให้ได้ลาภ สักการะ สรรเสริญด้วยการกระทำต่างๆ และดิ้นรนด้วยอำนาจกิเลส

ทุจริต ด้วยการทำบาปเพื่อให้ได้มาแม้สิ่งเหล่านั้น และแม้ไม่ทำทุจริตพือ่ให้ได้มา แต่ก็

ต้องดิ้นรน ขวนขวายประกอบอาชีพเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ตามความต้องการคือ

ตัณหาที่ต้องการ ก็ย่อมดิ้นรน เมื่อไมได้มาตามที่ต้อกงาร ก็ดิ้นรนด้วยความทุกข์ ดิ้นรน

ด้วยโทสะที่เกิดขึ้น และมื่อทำบาปแล้ว ก็ย่อมเกิดในภพภูมิที่ไม่ดี มีนรก เป็นต้น ก็ต้อง

ได้รับความทุกข์ทรมาน ย่อมดิ้นรนอยู่ในนรกครับ เพราะมีตัณหา และกิเลสเป็นเหตุให้

ดิ้นรน และกิเลสประการต่างๆ ทีเกิดขึ้นก็ทำให้ดิ้นรนไปตามอำนาจกิเลสทีเกิดขึ้นในแต่

ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นดิ้นรนเพราะความเห็นผิด ดิ้นรนเมื่อเกดิโทสะ เป็นต้น

เพราะฉะนั้นเมื่อยังเป็นผู้หนาด้วยกิเลสก็ย่อมดิ้นรนไปตามตัณหา ตามกิเลสประเภท

ต่างๆ ต้องได้รับทุกข์ ก็ย่อมดิ้นรนเมื่อได้รับทุกข์ทางกายและทุกข์ใจ และย่อมดิ้นรนไป

ในสังสารวัฏฏ์ การจะไม่ดิ้นรนอีกคือการดับกิเลสหมดสิ้นไม่ต้องดิ้นรนด้วยกิเลสที่จะไม่

เกิดขึ้นอีก ไม่ต้องดิ้นรนที่จะต้องเกิดอีก ไม่ต้องดิ้นรนด้วยความทุกข์ทางกายและทุกข์

ใจทีเกดขึ้นอีกเพราะไม่มีกิเลสที่ทำให้ทุกข์อีกแล้ว ซึ่งหนทางที่จะละความดิ้นรน คือ

การดับกิเลสนั้น คือการอบรมปัญญาโดยเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ และเข้าใจ

ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ อันเป็นการเจริญสติปัฏฐาน เป็นหนทางละความ

ดิ้นรน ดับกิเลสหมดสิ้นครับ ขออนุโมทนาคุณหมอที่นำเสนอพระธรรมดีๆ ได้อ่านและ

พิจารณากันครับ สาธุ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 18 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ยังเป็นผู้ไม่พ้นจากทุกข์ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุ คือ กิเลส เพราะยังมีกิเลส จึงยังไม่พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ทำให้มีการเกิดในภพใหม่อยู่รำไป เป็นทุกข์อย่างไม่มีวันจบสิ้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ทำให้ดิ้นรน เดือดร้อนเพราะกิเลสที่ได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ มีชีวิตที่ดำเนินไปด้วยอำนาจของกิเลส ถูกกิเลสครอบงำอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะพ้นไปได้ เพราะยังมีกิเลสนี้เอง จึงฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง เพราะสามารถนำออกไปจากทุกข์ทั้งปวงได้จริง นำมาซึ่งประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพานถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ สูงสุดคือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีทุกข์ไม่ต้องมีการดิ้นรน ไม่ต้องเดือดร้อนเพราะกิเลสอีกต่อไป ครับ. ...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pat_jesty
วันที่ 18 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pirmsombat
วันที่ 18 ส.ค. 2554

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณเผดิม คุณคำปั่นและทุกท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 18 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
คนไทยพบธรรม
วันที่ 20 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาบุญครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
swanjariya
วันที่ 2 มี.ค. 2556

ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะทุกๆ ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เข้าใจ
วันที่ 4 มี.ค. 2556

กราบอนุโมทนาในพระธรรม ที่ยังผลให้กุศลธรรมเจริญขึ้นครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ