สิ่งใดก็ตามที่เกิดดับ สิ่งนั้นเป็นโลก


    สุรีย์   เมื่อกี้นี้อาจารย์ชี้ให้เห็นว่า การเกิดดับ ๆ ได้ทั้งรูปและนาม  ในเมื่อตาที่เห็น เป็นโลกที่เกิดทางตา โลกที่เกิดทางหู เพราะฉะนั้น เราจะพูดได้ไหมว่า โลกนี้ ประกอบด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และความคิดนึก

    ส.   จักขุปสาทรูปเกิดขึ้นดับ เป็นโลก รูปารมณ์เกิดขึ้นดับ เป็นโลก ใครจะเห็นหรือไม่เห็นไม่สำคัญ กำลังนอนหลับ กรรมทำให้จักขุปสาทรูปเกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้น จักขุปสาทรูปเป็นโลก เพราะเหตุว่าเกิดดับ สภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป สภาพธรรมนั้นเป็นโล-กะ เป็นโลกียะ เนื่องกับโลก ไม่ใช่โลกุตตระ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ

    เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราพูดถึงเรื่องโลกซึ่งเกิดดับ เราจะต้องแยกว่า ไม่มีคนแล้ว  แต่ว่ามีสภาพธรรมซึ่งมี ๒ อย่าง คือ นามธรรมกับรูปธรรม ซึ่งเกิดดับทั้ง ๒ อย่าง ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก็มีทั้งรูปธรรมเกิดขึ้นและดับไปอยู่เรื่อยๆ นามธรรมจะรู้หรือไม่รู้ ไม่เป็นไร  จิตจะเห็นสีหรือไม่เห็นสี เสียงที่กำลังเกิดขึ้นและดับไป ใครจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปว่า ต้องจิตเกิดขึ้นได้ยิน ถึงจะเป็นโลก แต่ว่าสภาพธรรมใดก็ตามซึ่งเกิดแล้วดับ สภาพธรรมนั้นเป็นโลกทั้งหมด

    สุรีย์   เพราะฉะนั้น เหตุที่โลกเกิดขึ้น ก็เพราะว่าเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใช่หรือไม่

    ส.   มีเหตุปัจจัยที่ทำให้นามธรรมเกิด มีเหตุปัจจัยที่ทำให้รูปธรรมเกิด ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัย

    สุรีย์   อันนี้ก็แปลว่า โลกปรากฏขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้รูปธรรมและนามธรรมเกิด

    ส.   เกิดแล้วก็ดับ

    สุรีย์   ทีนี้เมื่อไรโลกไม่ปรากฏ เมื่อไรโลกไม่ปรากฏ

    ส.   ถ้าสภาพของนามธรรมไม่เกิดขึ้นรู้ จะมีใครรู้จักโลกไหม ถ้าไม่มีนามธรรม

    สุรีย์   หมายความว่า เมื่อปสาทรูป เอาง่ายๆ ไม่เกิด โลกก็ไม่ปรากฏ ถูกไหม

    ส.   ถ้าปสาทรูปไม่เกิด โลกสีไม่ปรากฏ

    สุรีย์   ทางที่เกิดของจิตทั้ง ๖  ไม่เกิด

    ส.   จริงๆแล้วที่คุณสุรีย์ถาม หมายความถึงทางรู้อารมณ์ของจิต เพราะเหตุว่าจิตเป็นธาตุรู้  หรือว่าเป็นสภาพรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อจิตเป็นธาตุรู้ หรือสภาพรู้ จิตเกิดขึ้นขณะใดต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งเรียกว่า อารมณ์ แต่ที่คุณสุรีย์ถามเมื่อกี้นี้ หมายความว่า ขณะใดบ้างที่อารมณ์ไม่ปรากฏ

    สุรีย์   ที่โลกไม่ปรากฏ

    ส.   มีจิตจริง แต่ว่าอารมณ์ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่าธรรมดาของจิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้นขณะใดต้องมีอารมณ์  อย่างทางตา มีสีเป็นอารมณ์ ทางหู มีเสียงเป็นอารมณ์ ทางจมูก มีกลิ่นเป็นอารมณ์ ทางลิ้น มีรสเป็นอารมณ์ ทางกาย ก็มีสิ่งที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นอารมณ์ ทางใจ มีเรื่องราวต่างๆที่กำลังคิดนึก เป็นอารมณ์ นี่พูดอย่างกว้างๆ ทั่วๆไป

    สุรีย์   เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว ก็คือ ถ้าโลกไม่ปรากฏ หมายความว่าทางทั้ง ๖ ทางนั้นไม่เกิด โลกจึงไม่ปรากฏ ใช่ไหมคะ

    ส.   มีจิตจริง ขณะใดที่จิตเกิดต้องรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด แต่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่ปรากฏ หรือไม่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    สุรีย์   ต้องมีทางด้วย ถ้าทางไม่เกิด แม้มีอารมณ์ ถ้าทางไม่เกิด มันก็ไม่ปรากฏ เหมือนกัน

    ส.   หมายความว่า จิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง หรือพ้นจาก ๖ ทางนี้จิตก็ยังเกิดขึ้นรู้อารมณ์ได้ เช่น ขณะที่กำลังหลับสนิท หรือขณะที่กำลังไม่มีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดใน ๖ ทางเป็นอารมณ์ มีจิตกับมีอารมณ์ คือ จิตทางตา มีสีที่ปรากฏเป็นอารมณ์ นี่ต้องอาศัยตา สีสันวัณณะต่างๆจึงจะปรากฏได้ เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้นเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ นี่ตอนหนึ่ง

    สุรีย์   อันนี้โลกปรากฏแล้ว

    ส.   ยังค่ะ หมายความว่า ต้องเข้าใจตามลำดับขั้นว่า จิตเป็นสภาพรู้หรือธาตุรู้ เมื่อเกิดขึ้นต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด และสิ่งที่จิตรู้นั้นเป็นอารมณ์ของจิต อันนี้เป็นที่แน่นอน เพราะฉะนั้น อารมณ์จะปรากฏหรือไม่ปรากฏ แล้วแต่ว่าจิตรู้อารมณ์ทางไหน ถ้ารู้ทางตา สีปรากฏ ถ้ารู้ทางหู เสียงปรากฏ ถ้ารู้ทางจมูก กลิ่นปรากฏ ถ้ารู้ทางลิ้น รสปรากฏ ถ้ารู้ทางกาย สิ่งที่กำลังเย็น ร้อน อ่อน แข็งกำลังปรากฏ ถ้าเป็นทางใจ ก็กำลังคิดนึกเรื่องราวต่างๆ

    สุรีย์   สิ่งที่ปรากฏนั้นคือโลกปรากฏ ถูกไหม จะสรุปอย่างนั้น

    ส.   สิ่งใดๆที่ตามซึ่งเกิดดับเป็นโลก นี่เราแยกคำจำกัดความออกไปเป็นตอนๆ ถ้าจะพูดถึงโลก ก็หมายความถึงเราไม่ได้พูดถึงทวาร เราไม่ได้พูดถึงอะไรเลย แต่พูดถึงว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิด สิ่งนั้นดับ สิ่งนั้นเป็นโลก


    หมายเลข 9261
    14 ก.ย. 2558