อาหารเป็นธรรมชาติที่นำมาซึ่งผล ควรเห็นโทษภัยของอาหารปัจจัย


    ถาม   ถ้าจะว่าถึงความหมายนะครับ   คำว่าอาหารในที่นี้ก็หมายถึงว่าเป็นธรรมชาติที่ทำให้ธรรมชาติอื่นเจริญขึ้นใช่ไหมครับ ?

    ท่านอาจารย์ นำมาซึ่งผลค่ะ

    ถาม   แปลว่า  นำมาซึ่งผล

    ท่านอาจารย์ ถ้าผัสสะเกิดแล้ว   ที่จะไม่มีผลติดตามมา  คือ ไม่มีเวทนาเป็นไปไม่ได้

    ถาม   ทีนี้การเจริญสติปัฏฐาน  อย่างก่อนที่จะมาถึงขั้นนี้   คือ พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ นี้  จะต้องรู้ชัดในขั้นแรก คือ  นามรูปปริจเฉทญาณเสียก่อนหรือเปล่าครับ ?

    ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ

    ถาม   ถ้าหากว่าไม่รู้ชัด  จะผ่านถึงขั้นนี้ได้ไหมครับ ?

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ชัด   แล้วจะรู้ในลักษณะที่เป็นปัจจัยได้อย่างไร ?   แต่เมื่อรู้ลักษณะของนามธรรมว่าเป็นนามธรรม   รูปธรรมเป็นรูปธรรมแต่ละชนิดแล้ว  เวลาที่สติระลึกนี้  ความรู้ก็เพิ่มขึ้น   เพื่อที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน   เป็นสัตว์   เป็นบุคคล

    ถาม   แล้วขั้นแรกก็ต้องศึกษาและก็พิจารณาใช่ไหม  การเจริญในขั้นนี้ด้วยอำนาจปัจจัยนี้

    ท่านอาจารย์ เรื่องปัจจัย  ขณะนี้สภาพธรรมใดปรากฏ   นี่ก็คือเรื่องของสติล่ะ   ถ้าเรื่องของหลงลืมสติ  ก็ไม่ต้องมาสอบถามหรือพิจารณาว่า  ขณะนี้มีสภาพธรรมใดปรากฏ   แต่พอเป็นเรื่องของสติแล้ว  เป็นเรื่องที่จะระลึกรู้ว่า  ขณะนี้มีสภาพธรรมใดเกิดขึ้นปรากฏ

    ถ้าสติระลึก   จะไม่มีการหยุดเลย   ขอให้ท่านผู้ฟังลองพิจารณาในขณะนี้   ไม่ขาดการเกิดขึ้นเป็นไปของนามธรรมและรูปธรรม   เห็น  จะว่าหมดสิ้นไปแล้ว   ได้ยินเกิดขึ้น   จะว่าหมดสิ้นไปแล้ว   คิดนึกเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้น  หมดไปแล้ว  อ่อนแข็งปรากฏ   

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า   ตราบใดที่มีตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ถ้าสภาพธรรมไม่มีอาหารปัจจัยทำให้เกิดขึ้นปรากฏ   ย่อมไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของปัจจัยใด ๆ ทั้งสิ้นได้   ถ้าเสียงไม่เกิดขึ้นปรากฏ   จะรู้ลักษณะของวิญญาณาหาร   หรือผัสสาหารได้ไหม   ในเมื่อไม่มีสภาพธรรมใดปรากฏเลย   จะรู้ลักษณะของเวทนาได้ไหม   ในเมื่อไม่มีสภาพธรรมใดปรากฏเลย   แต่เพราะเหตุว่าผัสสาหารนำมาซึ่งเวทนา ๓

    เพราะฉะนั้นขณะนี้   เวทนากำลังเกิดดับ  สืบต่อแต่ละชนิด  แต่ละลักษณะ   บางครั้งเวทนาก็เป็นสุข   บางครั้งเวทนาก็เป็นทุกข์   บางครั้งเวทนาก็ไม่สุขไม่ทุกข์  คือ  อทุกขมสุข   ผู้ที่ไม่หลงลืมสติ   มีโอกาสที่จะศึกษารู้ลักษณะของปัจจัยได้   เพราะเห็นการเกิดขึ้นโดยไม่หยุด   แสดงว่าเป็นผลของอาหารปัจจัย   ถ้าผัสสะไม่กระทบเสียง   เสียงไม่ปรากฏ   ถ้าผัสสะไม่กระทบแข็ง   แข็งไม่ปรากฏ   ถ้าผัสสะไม่กระทบกับสิ่งที่น่าพอใจ   โสมนัสเวทนาไม่ปรากฏ   ถ้าผัสสะไม่กระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ   โทมนัสเวทนา   หรือทุกขเวทนาไม่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นท่านที่ป่วยไข้ได้เจ็บ   ก็มีเวทนาที่จะระลึกรู้ได้ว่า เพราะผัสสะกระทบกับอารมณ์ที่ทำให้ทุกขเวทนาเกิด   ทุกขเวทนาจึงเกิด   ซึ่งก็ไม่ใช่เรา   และก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย   แล้วเวลาที่สภาพธรรมอื่นเกิดต่อ   เช่นได้ยิน   คนที่กำลังปวด ๆ เจ็บ ๆ  มีการได้ยินไหม ?   หรือว่าไม่ได้ยินอะไรเลย   ต้องมีใช่ไหมคะ ในขณะนี้ก็มีเสียงปรากฏ  เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ลักษณะของอาหารปัจจัยได้ว่า   เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นมีขึ้น   แสดงว่ามีอาหารปัจจัย   จึงทำให้สภาพธรรมนี้เกิดขึ้นปรากฏได้

    ซึ่งอาหารปัจจัยนี้   ในขณะจิตเดียวมีนามอาหารถึง ๓ ประเภท  จิตเกิดดับนี้เร็วมาก   แล้วก็มีอายุสั้น   เล็กน้อยเหลือเกิน   ถ้าไม่ใช่ผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน   จะไม่เห็นความเล็กน้อยของจิต   แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติจริง ๆ   ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม   จะเห็นได้ว่า สภาพธรรมนี้เปลี่ยนไปแต่ละอย่าง ๆ   อย่างหนึ่งหมดไปแล้วก็จริง ในขณะนี้พิสูจน์ธรรมไปด้วย   หมดไปแล้วก็จริง   ขณะอื่นต่อไปเกิดขึ้นๆๆๆ   อย่างรวดเร็ว   โดยที่ไม่มีใครยับยั้งได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า   ผัสสะซึ่งเป็นผัสสาหาร   เกิดกับวิญญาณาหาร   และมโนสัญเจตนาหารในจิตที่เกิดปรากฏรู้อารมณ์ขณะหนึ่ง ๆ   แม้ว่าจิตจะอายุสั้น   เล็กน้อย   เกิดดับอย่างรวดเร็ว   แต่พระผู้มีพระภาคก็ทรงแสดงว่า  ในจิตดวงหนึ่ง  มีนามอาหารถึง ๓ อย่าง  คือ  มีผัสสาหาร   มีมโนสัญเจตนาหาร   มีวิญญาณาหาร

    เพราะฉะนั้นก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้ที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ   จึงจะรู้ลักษณะของปัจจัยได้   เพราะฉะนั้นถ้าสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละขณะ   แล้วก็เห็นอาหารปัจจัยซึ่งทำให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปไม่ขาดสาย  จะสงบหรือยังคะ ?   ที่ว่าไม่ยากน่ะ

    ถ้าสงบนะ   ก็โดยการที่เห็นโทษหรือเห็นภัย   แต่ในขณะที่บริโภคอาหาร   รู้ว่าอาหารเป็นปัจจัยแก่รูปร่างกาย   คือ ทำให้อาหารชรูปเกิดขึ้น   แล้วก็อุปถัมภ์ร่างกายให้ดำรงอยู่เท่านั้น   เพียงรู้แค่นี้  จะทำให้กุศลเจริญได้ไหม   ถ้าไม่เห็นภัยของอาหารปัจจัยว่า   เพราะอาหารปัจจัยทีเดียว   สภาพธรรมทั้งหลายนี้จึงเกิด ๆ ๆ  โดยที่ไม่หยุดยั้งเลย   ถ้าจะดับการเกิด   ก็ต้องเห็นโทษเห็นภัยของอาหารปัจจัย  จึงจะไม่มีนามธรรมและรูปธรรมเกิดต่อไปอีกได้   

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมจึงต้องศึกษาแล้วก็พิจารณาให้ละเอียดขึ้น ๆ   เพียงแต่รู้ปัจจัยเท่านั้นก็ยังไม่พอ   ยังต้องเห็นโทษของอาหารปัจจัยด้วย   เพื่อที่จะให้ละคลายความยินดีพอใจในอาหารปัจจัย   

    ซึ่งสำหรับกพฬีการาหารนี้   ปกติแล้วเป็นที่ยินดีใช่ไหมคะ ?   ยังไม่เป็นที่เห็นภัย   ยังไม่เป็นที่เห็นว่า   เพราะนำมาซึ่งผล  ทำให้มีการเกิดขึ้น  โดยที่ไม่หยุดเลย


    หมายเลข 5643
    27 ส.ค. 2558