อารมณ์ของสมถภาวนา


    ส.   สำหรับในวันนี้ ขอกล่าวถึงอารมณ์ของสมถภาวนา ให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาว่า ท่านจะเจริญสมถภาวนาโดยอารมณ์ไหน แล้วก็จะเป็นไปได้ไหมสำหรับท่าน สำหรับ   สมถกรรมฐานซึ่งเป็นอารมณ์ของสมถภาวนานั้น มี ๔๐ คือกสิณ ๑๐ สำหรับกสิณนี่ก็ได้แก่ ปฐวีกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ  อาโปกสิณ  ซึ่งได้แก่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม นั่นเอง ซึ่งเหตุผลของการที่อาศัยกสิณซึ่งเป็น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เพื่อที่จะให้จิตระลึกถึง ความไม่มีสาระ ของธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ซึ่งเป็นรูปซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ปรากฏอยู่โดยทั่วไป อย่างดินนี่คะ ก็มีการแตกย่อยได้ แม้แต่ภูเขาซึ่งใหญ่มหาศาลก็ยัง สามารถที่จะทำลายย่อยยับลงไปได้ นั่นก็เป็นความไม่เที่ยงของธาตุดิน หรือแม้แต่ธาตุน้ำ ในบางครั้งก็ มากมายไหลหลั่ง ท่วมท้นล้นฝัง ในบางครั้งก็ขอดแห้งหายจนกระทั่งดินก็แตกระแหงไปหมด นั่นก็เป็นความไม่เที่ยง ถึงแม้ธาตุลมก็เช่นเดียวกัน เท่าที่จะระลึกให้เห็นได้ ตามความเป็นจริง ลมพายุอย่างแรงก็มี แต่เวลาที่อากาศอบอ้าว ลมสักเล็กน้อยก็ไม่มี  ก็ต้องไปเอาพัดมาโบกให้เกิดลมขึ้น

    ผู้ฟัง .   ที่อาจารย์ว่าธาตุน้ำ นี่ อาจารย์ จะเอาบัญญัติทางโลก หรือจะเอา พูดถึงทางวินัย

    .   ต้องแยกอย่าลืมคะ โดยทั่วไปแล้วรวม แต่ก็ต้องแยกเป็นสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาภาวนา

    ผู้ฟัง .   เวลานี้ผม เห็นอาจารย์พูดถึงว่าธาุตน้ำ

    ส.   ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงไว้ในพระสูตร ทรงแสดงถึงความปรวนแปรของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม โดยอุปมาอย่างนี้ สำหรับที่จะให้เข้าใจถึงความไม่เที่ยง เพื่อที่จะน้อมจิตไปสู่ความสงบ ยังไม่ถึงวิปัสสนาที่จะประจักษ์ความเกิดดับ เพราะเหตุว่า นี้เป็นนัยของสมถภาวนา

    ผู้ฟัง .   เพียงแต่สังเคราะห์ ใช่ไหมครับอาจารย์

    ส.   นัยของสมถภาวนาขั้น ๑ นัยของวิปัสสนาอีกขั้น ๑  อย่าลืมคะ

    ผู้ฟัง .   ครับๆ เท่านี้ ผมก็ไม่ข้าม

    .   คะ ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ก็มีความแปรปรวนไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังงไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งในอริยสัจธรรมโดยเฉพาะในสมัยซึ่งยังไม่มี การตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการแสดงให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเลย ซึ่งท่านผู้ฟังเคยสงสัยว่า ทำไมในอดีตพระสาวกท่านช่างตรัสรู้ง่ายเหลือเกิน เพียงแต่พระผู้มีพระภาค หรือพระสาวก แสดงธรรมกับบุคคลนั้นโดยย่อเล็กน้อย เขาก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ต้องมีเหตุ คือบารมีที่ได้สะสมมาแล้ว แต่ะเมื่อยังไม่มีการฟังธรรม ก็ไม่มีการน้อมที่จะระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น บารมี จะเห็นได้ ในขณะนี้ท่านกำลังฟัง เรื่องสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ถ้าเป็นผู้ที่ได้อบรมบารมีมาพร้อมแล้ว ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แทงตลอดทันที ในอริยสัจธรรม แต่เพราะบารมียังไม่เต็ม แม้ว่ากำลังฟังเรื่องสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ แล้วสภาพธรรม ก็กำลังปรากฏ จริงๆ แต่ยังไม่มีการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็จะต้องอบรมบำเพ็ญภาวนา เจริญต่อไป จนกว่าบารมีจะเต็มพร้อมที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้  เพราะฉะนั้น ก็ต้องแยกกันคะ ธรรมที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงไว้มีมาก แล้วก็ทรงเกิ้อกูลทุกท่าน ทั้งในเรื่องของ ทาน ศีล สมถะ และวิปัสสนาภาวนา แต่มิได้ทรงมุ่งหมายให้ผู้ ๑ ผู้ใดที่ไม่สามารถที่จะบรรลุถึงฌานไปเจริญฌาน เรื่องของฌานมีมากในพระไตรปิฎก สำหรับใครโดยเฉพาะ คนในยุคนี้ สมัยนี้ แม้ในยุคโน้น ผู้ที่ได้บรรลุอริยสัจธรรม พร้อมฌานจิตก็ยังมีน้อย และสมัยนี้ ท่านสามารถที่จะถึงฌานได้ไหม ถ้าไม่สามารถ ก็อบรมเจริญปัญญาที่เป็นสติปัฏฐาน ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม อาจจะเป็นไปได้ โดยไม่สามารถที่จะบรรลุฌาน แต่สามารถที่จะบรรลุแจ้ง อริยสัจธรรม เป็นบุคคลที่มีกำลังน้อย  ไม่ใช่ผู้ที่มีกำลังใหญ่คือสามารถที่จะสำเร็จทั้ง ๒ ประการ


    หมายเลข 3972
    20 ส.ค. 2558