วันฟ้าสางที่เวียดนามกลาง 5

 
kanchana.c
วันที่  11 มิ.ย. 2557
หมายเลข  24972
อ่าน  2,765

เที่ยวเมืองเว้

เว้ เป็นเมืองหลวงเก่าของเวียดนามตั้งแต่ปี พ.ศ. 2345 – 2488 มีพระราชวังหลวง ที่

ประทับของจักรพรรดิในราชวงศ์เหงียน 13 องค์ องค์แรกคือ จักรพรรดิยาลอง ที่เริ่มฟื้นฟู

ประเทศ (ไกด์เล่าว่า คือ องเชียงสือ ที่เข้ามาพึ่งพระบรมสมภารรัชกาลที่ 1 พร้อมไพร่พล

300,000 นาย ที่พำนักอยู่ที่สามเสน และนางเลิ้ง คือ พี่สาวใหญ่ขององเชียงสือที่มาเป็น

สนม ตั้งวัดญวนที่นางเลิ้ง ปัจจุบัน) ก่อนเขียนบทความนี้ พยายามค้นประวัติศาสตร์เมือง

เว้หลายแห่ง แต่เขียนไว้ไม่ค่อยเหมือนกัน แม้แต่ไกด์เวียดนามก็เล่าเรื่องต่างกัน จึงนึกได้

ว่า ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องเล่าของแต่ละชาติ เรื่องของชาติใด ชาตินั้นก็เป็นพระเอก ชาติ

อื่นเป็นผู้ร้าย ไม่ใช่ความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้อย่างปรมัตถธรรม เพราะยังเป็นประเทศ

ของเรา ประเทศของเขา ไม่ใช่เป็นเพียงจิต เจตสิก รูปซึ่งเกิดร่วมกันทำกิจหน้าที่ของตนๆ

จึงไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องค้นคว้าต่อไป ดังนั้นขอเล่าจากสิ่งที่ตาเห็นและหูได้ยิน ก็คง

พอแล้ว

เว้เป็นเมืองหลวงเก่า จึงมีโบราณสถานมากมาย เป็นพระราชวัง สุสานหลวง วัด และ

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง องค์การยูเนสโกได้จดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม

เมื่อ พ.ศ.2536

เมื่อเดินทางถึงเว้ วันรุ่งขึ้น เจ้าภาพได้พาชมพระราชวังหลวง วัดเทียนมู่ สุสานหลาย

แห่ง และสถานที่สำคัญในบริเวณใกล้เคียง ที่เว้อากาศร้อนจัดมาก หลายวันที่อุณหภูมิสูง

ถึง 41 องศา หลายท่านจึงสละสิทธิ์ไม่ไปเที่ยวชม ทั้งๆ ที่มีไกด์พูดไทยได้พาไปก็ตาม

ออกเดินทางโดยรถบัสไปพระราชวังเก่าแต่เช้า แต่ก็ไม่ทันแดด เพราะแดดออกมาตั้งแต่ตี

5 พอแปดโมงครึ่งก็ร้อนอบอ้าวแล้ว พระราชวังหลวงนั้นสร้างแบบจีน มีที่อยู่ของนางใน ที่

ผู้ชายเข้าไม่ได้ ยกเว้นจักรพรรดิและขันที ไกด์จึงมีเรื่องเล่าเหมือนที่เคยดูหนังจีน (คง

เพราะเวียดนามเป็นเมืองขึ้นของจีนนับพันปี จนอักษรเวียดนามถูกจีนทำลายหมด ไม่มี

เหลือ ไกด์เล่าว่า จีนเผาหนังสือเวียดนามจนหมดสิ้น ปัจจุบันต้องใช้ภาษาที่เหมือนภาษา

อังกฤษ แล้วมีเพิ่มเครื่องหมายพิเศษข้างบน ข้างล่าง เพื่อให้ออกเสียงได้ ในภาษา

เวียดนาม)

พระราชวังมีกำแพง 4 ด้าน ยาวด้านละ 2.5 กม. ก่อนเข้าไปในวัง ต้องเดินข้ามสะพาน

ที่มีสระบัวใหญ่ 2 ข้างตามหลัก ฮวงจุ้ย ประตูทางเข้าใหญ่นั้นหนามาก ประมาณ 7เมตร

คงต้องการป้องกันภัยจากข้าศึกโจมตี ไกด์ชี้ให้ดูรอยกระสุนปืนที่ถูกทหารอเมริกันยิงถล่ม

ในสงครามเวียดนาม แต่ก็ยังไม่เป็นอันตรายอะไร แล้วทำไมพระราชวังที่สร้างไว้อย่าง

กว้างขวางสวยงามและป้องกันไว้อย่างดีนี้ จึงถูกปล่อยทิ้งร้างเช่นนี้ โดยไม่ได้ถูกเผา

ทำลายเหมือนกรุงศรีอยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน ได้ทราบว่า เพราะจักรพรรดิบ๋าวได๋

จักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์เหงียนสละราชบัลลังก์ และย้ายเมืองหลวงไปที่ไซ่ง่อน

โดยการสนับสนุนของฝรั่งเศส ซึ่งขณะนั้นเวียดนามเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และเป็น

อยู่นับ 100 ปี ซึ่งบรรพบุรุษผู้สร้างพระราชวังให้อยู่คงทนเป็นพันปี ไม่ได้คิดป้องกันเรื่องนี้

ไว้ก่อนเลย

สุสานของจักรพรรดิไคดิงห์ จักรพรรดิองค์ที่ 12 เป็นสุสานที่สร้างใหญ่โตและสวยงาม

มาก ฝรั่งเศสที่ปกครองเวียดนามในขณะนั้นคิดว่า ถ้าควบคุมจักรพรรดิได้ ก็เหมือน

ควบคุมคนเวียดนามได้ทั้งหมด จึงนำจักรพรรดิไปให้การศึกษาเลี้ยงดูอย่างดีที่ฝรั่งเศส

ตั้งแต่เด็ก แล้วให้กลับมาปกครองเวียดนาม พระองค์ทรงชอบวาดภาพและอ่านหนังสือ

ทรงออกว่าราชการเดือนละ 4 ชั่วโมง ทรงนิยมแต่งกายแบบฝรั่งเศส และได้ให้สร้างสุสาน

สำหรับพระองค์เองอย่างใหญ่โต โดยเก็บภาษีร้อย 80 ทำให้คนเวียดนามประมาณ 2 ล้าน

คนทนถูกขูดรีดไม่ไหว หนีไปอยู่ลาวและบางส่วนว่ายข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ตามจังหวัด ติด

แม่น้ำโขงของไทย การสร้างสุสานที่ผสมผสานศิลปะของชาติต่างๆ ประดับประดาด้วย

ของมีค่ามากมายนั้นไม่ทันเสร็จ ก็สวรรคตไปก่อนเมื่ออายุ 40 ชันษา จักรพรรดิองค์ที่ 13

ก็มาสร้างต่อจนเสร็จ พิธีนำศพไปบรรจุนั้นก็ลึกลับพอๆ กับหนังจีน คือไม่มีใครรู้ว่า พระศพ

อยู่ตรงไหน เนื่องจากคนที่อยู่ในขบวนแห่พระศพไปฝังนั้นถูกฆ่าตายทั้งหมด เพราะเกรง

จะกลับมาขโมยสมบัติล้ำค่าที่ฝังพร้อมพระศพ


สุสานจักรพรรดิตือตึก จักรพรรดิองค์ที่ 4 เป็นเหมือนอุทยานที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่

โดยเฉพาะต้นสน ที่แสดงถึงความเป็นอมตะของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหงียน และทะเล

สาบลูเคียมที่ปลูกบัวออกดอกบานสะพรั่ง ตอนสร้างสุสานนั้นเวียดนามมีฐานะทางเศรษฐ-

กิจดี จึงไม่ต้องเพิ่มภาษีจากประชาชน แต่ก็ใช้แรงงานคนถึง 3,000 คน ทำงานวันละ

18 ชั่วโมง จนคนงาน 2,000 คนทนไม่ไหว พากันแบกจอบเสียมเข้าไปในวังเพื่อจะปลง-

พระชนม์จักรพรรดิ แต่ถูกจับได้และประหารชีวิตทั้งหมด และต่อมาก็สร้างจนเสร็จใช้เวลา

3 ปี เห็นสัจธรรมของคนจน ไม่ว่าประเทศไหนก็ถูกกดขี่เหมือนกัน การเกิดเป็นคนจนก็

เป็นผลของอกุศลกรรม ที่ไม่ทำทานมาก่อน คือ ไม่รู้จักคำของผู้ขอ จึงได้รับอกุศลวิบากที่

ทำให้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ จริงๆ แล้ว

ไม่มีคนจน คนรวย มีแต่สัตว์โลกซึ่งเป็นที่ดูบุญและบาป และ ผลของบุญและบาปเท่านั้น

เอง

วัดเทียนมู เป็นวัดพุทธมหายาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม เป็นอาคารทรงแปดเหลี่ยม 7 ชั้น

สูง 21 เมตร สร้างในปี พ.ศ. 2144 เทียนมู แปลว่าเทพธิดา วัดนี้มีฮวงจุ้ยดีมาก ด้านหน้า

ติดแม่น้ำ ด้านหลังเป็นภูเขา จักรพรรดิคิดจะสร้างเป็นพระราชวัง แต่มีเซียนแนะนำว่า

ควรสร้างเป็นที่ประทับของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงได้สร้างเป็นวัด และในสงครามเวียดนาม พระ

ที่วัดนี้ได้ขับรถออสตินไปที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ที่ไซ่ง่อน ใช้น้ำมันราดตัวเองและจุดไฟ

เผา ขณะที่พระอีกหลายรูปเดินล้อมรอบ เพื่อประท้วงรัฐบาลอเมริกา ที่ทำสงครามใน

เวียดนาม โดยเฉพาะเผาและฆ่าพระในพระพุทธศาสนา เนื่องจากประธานาธิบดีใน

ขณะนั้น คือ โงดินห์เดียมเป็นคริสต์ ไม่ต้องการให้มีวัดพุทธในไซ่ง่อน ซึ่งเป็นข่าวดัง

ไปทั่วโลก จนประธานาธิบดีถูกอเมริกาปลดออกจากตำแหน่งและถูกฆ่าตายในที่สุด

ไกด์บอกว่าพระรูปนั้นบรรลุธรรมแล้ว เพราะเมื่อเผาตัวเองสิ้นชีวิตแล้ว หัวใจก็ยังเต้น

และได้เก็บหัวใจ ไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ไซ่ง่อน แต่รถออสตินเก็บไว้ที่วัดนี้ พร้อมกับ

ภาพถ่ายของท่านขณะที่เผาตัวเอง

สะพานทันต่วน นั่งแท๊กซีไปนอกเมือง ผ่านทุ่งนา ถึงสะพานไม้อายุกว่า 200 ปี

ข้ามคลองเล็กๆ เป็นที่ชุมนุมของชาวบ้าน นั่งๆ นอนๆ บนสะพานไม้แห่งนี้ ดูๆ ก็ไม่มี

อะไร เหมือนสะพานตามชนบทบ้านเรา แต่เขามีตำนานว่า ที่นี่เป็นบ้านเกิดของนาย

ทหารใหญ่ เมื่อได้ดิบได้ดีก็กลับมาสร้างสะพานเป็นอนุสรณ์ที่บ้านเกิด ข้ามสะพานไป

เป็นตึกหลังใหญ่แสดงเครื่องใช้ของชาวบ้าน มีเครื่องมือทำอาหารแบบเก่า โม่หิน

สวิง สุ่มจับปลา ลอบ ไซดักปลา ยอ ที่ทอผ้า เปลไม้ไผ่ ฯลฯ มีคุณยายอายุมากแล้ว

แสดงวิธีใช้เครื่องใช้ต่างๆ เหล่านี้ เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ที่น่าสนใจสำหรับคนกรุง

แต่คนบ้านนอกอย่างเรา เคยเห็น เคยใช้มาแล้วทั้งนั้น


ทุกเย็นที่เดินเล่นริมแม่น้ำ จะมีคนมาถามว่า ล่องเรือไหม คนละ $2 เราก็ไม่สนใจ

คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ราคานี้ เรือออกลำใหญ่โตมโหฬารอย่างนั้น จึงได้ถามคุณท้าย

ได้ทราบว่า ถ้าราคาคนละ 2 ดอลล่าร์ ต้องรอจนคนเต็มเรือ คือ 40 คนก่อนจึงจะออก

เรือ และในเรือ ก็จะมีการแสดงดนตรีโบราณของเวียดนามด้วย ถ้าเหมาก็ $80

ไม่ต้องรอคน แล้วก็มารับส่งที่ท่าเรือหน้าโรงแรมเลย ไม่รู้จักองจู๋เหี่ยว (ภาษาเวีย-

นาม แปลว่าคนรวยผู้ชาย ถ้าผู้หญิงจะเป็น บาจู๋เหี่ยว) เสียแล้ว พวกเราเลยช่วยกัน

ออกคนละ $10 เหมาเรือเลย แถมยังเชิญสหายธรรมเวียดนามที่มาจากต่างเมือง

ล่องเรือด้วย แต่พวกเขาเหล่านั้นได้ล่องเรือเมื่อคืนก่อนแล้ว

เรือแล่นออกไปจนถึงสะพานที่เราเดินเล่นตอนเย็น แล้วหยุดลอยอยู่กับที่ให้นักร้อง

หญิง ชาย บรรเลงเพลง ถ้าเรือแล่นจะไม่ได้ยินเพลง เพราะเครื่องยนต์เสียงดังกว่า

คุณท้ายเป็นล่ามช่วยแปลให้เราฟังว่า เขาร้องเพลงอะไร ร้องไปประมาณชั่วโมงก็

หยุด แล้วเล่นเพลงพระราชนิพนธ์ ต่อด้วยเพลงลอยกระทง พร้อมกับเชิญคนไทย

ออกไปรำวงกับนักร้องเวียดนาม สุดท้ายจุดเทียนในกระทงกระดาษให้พวกเราลอย

ก็สนุกสนานเพลิดเพลินดี ไม่มากไม่น้อยเกินไป

เล่าเรื่องเที่ยวเล่นเสียยาวเลย ลืมเล่าเรื่องธรรมะอีกเช่นเคย ตามการสะสม เป็นตัวเอง

อย่างที่เป็นดีกว่า เรื่องธรรมะทุกท่านก็ได้ฟังเสมอๆ อยู่แล้ว เล่าเรื่องเที่ยวบ้างดีกว่า

เหนื่อยไหมคะเที่ยวเมืองเว้ ความจริงยังมีอีกมาก แต่เราสละสิทธิ์ไม่ไปเองทั้งๆ ที่คุณท้าย

จ้างไกด์ไว้แล้ว คงเพราะอากาศร้อนจัด จึงอยู่ร่วมสนทนาธรรมหลายครั้งที่ห้องประชุม

โอ่อ่าในโรงแรมเฮืองยางที่พัก

วันสุดท้ายสหายธรรมเวียดนามมอบของที่ระลึกให้ท่านอาจารย์ ซ่าร่าห์ และโจนาธาน

ที่มาเกื้อกูลสนทนาธรรมถึงเวียดนาม พร้อมกับน้ำมันยูคาและซ้อสปรุงรสเฝอ ของดีเมือง

เว้ ให้คนไทยร่วมคณะทุกคน (จนน้ำหนักกระเป๋าเกิน) และได้เรียนเชิญท่านอาจารย์ มา

สนทนาธรรมอีกครั้ง ในวันที่ 29 ธ.ค. 57 – 8 ม.ค. 58 ที่ไซ่ง่อน ท่านได้กล่าวตอบ

ที่ประชุมว่า แล้วแต่กรรมของท่านและดิฉันว่า จะได้มาร่วมสนทนาธรรมอีกหรือไม่

ท่านอาจารย์บอกพวกเราว่า เขากำลังสนใจ ก็ให้โอกาสเขาได้ซักถาม เราคิดต่อว่า

ตีเหล็กตอนกำลังร้อนจึงดี ก็ขอติดตามช่วยเหลือ (หรือท่องเที่ยว) ตามกำลัง และก็ขึ้นอยู่

กับกรรมเช่นกันค่ะ

และชีวิตก็ไป ไป ไปทุกขณะ ไม่หยุดเลย จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง จากวันหนึ่ง

ไปอีกวันหนึ่ง จากกรุงเทพ มาฮอยอัน มาเว้ และกำลังจะจากเว้ไป อดคิดถึงเฝอเนื้อหน้า

โรงแรมที่แสนอร่อยไม่ได้ น้ำซุปหอมหวาน เนื้อนุ่ม ไม่ทันเคี้ยวก็หายไปในปากเสียแล้ว

คงไม่ใช่เนื้อสุนัขหรอกนะ เพราะราคาเฝอถ้วยละ 30,000 ด่องเท่านั้น (45 บาท) คงไม่

ใส่เนื้อสุนัขหรอก เพราะกิโลละหลายแสนด่อง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 12 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
napachant
วันที่ 12 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonyavee
วันที่ 12 มิ.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณแม่และทุกท่านด้วยค่ะ และ ขอกราบ

อนุโมทนาคุณท้าย ที่จัดทริปไปเที่ยวสถานที่สวยๆ ล่องเรือชมบรรยากาศยามค่ำคืน ได้เห็น

ภาพท่านอาจารย์และทุกๆ ท่านมีรอยยิ้ม ก็มีความสุขไปด้วยแล้วค่ะ ขอกราบอนุโมทนาใน

กุศลจิตของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
j.jim
วันที่ 13 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 13 มิ.ย. 2557

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดง และทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ch.
วันที่ 15 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 16 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
yupaporn
วันที่ 19 มิ.ย. 2557

จริงๆ แล้ว

ไม่มีคนจน คนรวย มีแต่สัตว์โลกซึ่งเป็นที่ดูบุญและบาป

และ ผลของบุญและบาปเท่านั้นเอง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
papon
วันที่ 19 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wirat.k
วันที่ 12 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
orawan.c
วันที่ 11 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ปลากริม ไข่เต่า
วันที่ 22 พ.ค. 2560

ขอบพระคุณ และอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ