อักขณสูตร และอรรถกถา

 
khampan.a
วันที่  19 ต.ค. 2552
หมายเลข  14009
อ่าน  3,215

[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ ๔๕๑ เป็นต้นไป

๙. อักขณสูตร

[๑๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมกล่าวว่า โลกได้ขณะจึงทำกิจๆ แต่เขาไม่รู้ขณะหรือมิใช่ขณะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ๘ ประการนี้ ๘ ประการเป็นไฉน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าประกาศแล้วแต่บุคคลผู้นี้เข้าถึงนรกเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๑

อีกประการหนึ่ง ตถาคตอุบัติขึ้นในโลก ฯลฯ เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง แต่บุคคลผู้นี้ เข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๒

อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงปิตติวิสัยแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๓

อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้เข้าถึงเทพนิกายผู้มีอายุยืนชั้นใดชั้นหนึ่งเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๔

อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในปัจจันตชนบท และอยู่ในพวกมิลักขะ ไม่รู้ดีรู้ชอบ อันเป็นสถานที่ไม่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไปมา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๕

อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ทั้งหลายที่ผุดเกิดขึ้นไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสั่งสอนประชุมชนให้รู้ตาม ไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๖

อีกประการหนึ่ง ฯลฯ แต่บุคคลนี้ กลับมาเกิดในมัชฌิมชนบท แต่เขามีปัญญาทราม บ้าใบ้ ไม่สามารถรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๗

อีกประการหนึ่ง ตถาคตเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ไม่ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก และธรรมอันนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพานให้ถึงการตรัสรู้ อันพระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว พระตถาคตมิได้แสดงถึงบุคคลผู้นี้จะเกิดในมัชฌิมชนบทและมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ ทั้งสามารถจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิต ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ข้อที่ ๘

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลอันมิใช่ขณะ มิใช่สมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ประการนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนขณะและสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ มีประการเดียว ประการเดียวเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม และธรรมอันตถาคตทรงแสดงเป็นธรรมนำความสงบมาให้ เป็นไปเพื่อปรินิพพานให้ถึงการตรัสรู้ พระสุคตเจ้าทรงประกาศแล้ว และบุคคลนี้เกิดในมัชฌิมชนบท ทั้งมีปัญญา ไม่บ้าใบ้ สามารถเพื่อจะรู้อรรถแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นขณะ และสมัยในการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ประการเดียว.

ชนเหลาใด เกิดในมนุษยโลกแลว เมื่อพระตถาคตทรงประกาศสัทธรรม ไมเขาถึงขณะ ชนเหลานั้นเชื่อวาลวงขณะ ชนเปนอันมาก กลาวเวลาที่เสียไปวา กระทําอันตรายแกตน พระตถาคตเจาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในกาลบางครั้ง บางคราว การที่พระตถาคตเจาเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ๑ การไดกําเนิดเปนมนุษย ๑ การแสดงสัทธรรม ๑ ที่จะพรอมกันเขาได หาไดยากในโลก ชนผูใครประโยชน จึงควรพยายามในกาล ดังกลาวมานั้น ที่ตนพอจะรูจะเขาใจสัทธรรมได ขณะอยาลวงเลยทานทั้งหลายไปเสีย เพราะบุคคลที่ปลอยเวลาใหลวงไปพากันยัดเยียดในนรก ก็ยอมเศราโศก หากเขาจะไมสําเร็จอริยมรรค อันเปนธรรมตรงตอสัทธรรมในโลกนี้ได เขาผูมีประโยชนอันลวงเสียแลว จักเดือดรอน สิ้นกาลนาน เหมือนพอคาผูปลอยใหประโยชนลวงไป เดือดรอนอยู ฉะนั้น คนผูถูกอวิชชา หุมหอไว พรากจากสัทธรรม จักเสวยแตสงสาร คือชาติและมรณะสิ้นกาลนาน สวนชนเหลาใด ไดอัตภาพเปนมนุษยแลว เมื่อพระตถาคตประกาศสัทธรรม ไดกระทําแลว จักกระทํา หรือกระทําอยูตามพระดํารัสของพระศาสดา ชนเหลานั้นชื่อวาไดประสบขณะคือ การประพฤติพรหมจรรยอันยอดเยี่ยมในโลก ชนเหลาใด ดําเนินไปตามมรรคา ที่พระตถาคตเจาทรงประกาศแลว สํารวมในศีลสังวรที่พระตถาคตเจา ผูมีจักษุเปนเผาพันธุแหงพระอาทิตยทรงแสดงแลว คุมครองอินทรีย มีสติทุกเมื่อ ไมชุมดวยกิเลส ตัดอนุสัยทั้งปวงอันแลนไปตามกระแส บวงมาร ชนเหลานั้นแล บรรลุความสิ้นอาสวะ ถึงฝงคือ นิพพานในโลกแลว.

จบ อักขณสูตรที่ ๙


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 19 ต.ค. 2552

อรรถกถาอักขณสูตรที่ ๙

มีวินิจฉัยดังตอไปนี้. ชาวโลกยอมทํากิจทั้งหลายในขณะ เพราะเหตุนั้นชาวโลก นั้นชื่อวา ขณกิจจะ ผูทํากิจในขณะ อธิบาย พอไดโอกาสทํากิจทั้งหลาย

บทวา ธมฺโม ไดแก ธรรมคือสัจจะทั้ง ๔.

บทวา อุปสมิโก ไดแก นําความสงบกิเลสมาให.

บทวา ปรินิพฺพานิโก ไดแก กระทํา การดับกิเลสไดสิ้นเชิง. ชื่อวา สมฺโพธคามี เพราะถึงคือบรรลุ สัมโพธิญาณ กลาวคือ มรรคญาณ ๔. คําวา ทีฆายุก เทวนิกาย นี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัสหมายถึงเหลาอสัญญีเทพ.

บทวา อวิฺาตาเรสุ ความวา ในพวกมิลักขะ ผูไมรูอยางยิ่ง

บทวา สุปฺปเวทิเต ความวา อันพระผูมีพระภาคเจาตรัสดีแลว

บทวา อนฺตรายิกา แปลวา อันกระทําอันตราย.

บทวา ขโณ โว มา อุปจฺจคา ความวา ขณะที่ทานไดแลวนี้ อยาลวงเลยทานทั้งหลาย ไปเสีย.

บทวา อิธ เจ น วิราเธติ ความวา ถาใครๆ มีปกติพฤติประมาท ถึงไดขณะนี้ในโลกนี้แลวก็ไมสําเร็จ คือ ไมบรรลุความที่พระสัทธรรมเปนของแนนอน คือ อริยมรรค.

บทวา อดีตตฺโถ ไดแก เปนผูเสื่อมประโยชนแลว.

บทวา จิรตฺตนุตปสฺสติ ความวา จักเศราโศกสิ้นกาลนาน. เหมือนอยางวาพอคาผูหนึ่ง ไดฟงขาววา ในที่ชื่อโนน สินคามีราคาเทากัน ก็ไมพึงไป พอคาเหลาอื่นพึงไป ซื้อเขามา สินคาเหลานั้น ก็จะมีราคาเพิ่มขึ้นเปน ๘ เทาบาง ๑๐ เทาบาง เมื่อเปนเชนนั้น พอคาอีกฝายหนึ่งพึงเดือดรอนดวยคิดวา ประโยชนของเราลวงเลยไปแลวดังนี้ฉันใด บุคคลใดได ขณะในโลกนี้แลว ไมปฏิบัติ ไมยินดีการกําหนดแนนอนแหงพระสัทธรรม บุคคลนั้นชื่อวามีประโยชนอันลวงแลวเหมือนพอคานี้ จักเดือดรอนจักเศราโศกสิ้นกาลนานยิ่งกวาใครๆ ฉันนั้น.

บทวา อวิชฺชานิวุโต พึงทราบความเหมือนอยางนั้น

บทวา ปจฺจวิทุ แปลวา ไดตรัสรูแลว.

บทวา สวรา ไดแกผูสํารวมในศีล.

บทวา มารเธยฺยสรานุเค ความวา อันแลนตามสังสารวัฏแกงมาร

บทวา ปารคตา ไดแกถึงซึ่งพระนิพพาน.

บทวา เย ปตฺตา อาสวกฺขย ความวา ชนเหลาใดบรรลุพระอรหัตแลว. พระผูมีพระภาคเจาตรัสวัฏฏะและวิวัฏฏะไวในพระคาถาทั้งหลายใน พระสูตรนี้ ดวยประการฉะนี้

จบ อรรถกถาอักขณสูตรที่ ๙

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 20 ต.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 20 ต.ค. 2552

สาธุ

ขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 23 ต.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
คนบ้านนอก
วันที่ 23 พ.ย. 2552

ขออนุโมทนาในพระธรรมและผู้แสดงธรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 29 พ.ย. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
natre
วันที่ 3 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
natre
วันที่ 3 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Nataya
วันที่ 18 มี.ค. 2561

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 30 พ.ย. 2565

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ