กว่าปัญญาจะคมกล้า ... ?

 
พุทธรักษา
วันที่  24 ก.ย. 2551
หมายเลข  9950
อ่าน  1,087

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการถอดเทป การบรรยายธรรมโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ณ ตึกสภาการศึกษามหามกูฏราชวิทยาลัยพ.ศ. ๒๕๒๕ โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติอบรมเจริญภาวนาจึงมี จริต ๒ จริต คือตัณหาจริต และทิฏฐิจริต ผู้ที่ต้องการให้สติเกิดมากๆ จริตไหน?

แค่นี้ไม่พอ น้อยเกินไปหรือต้องการอย่างนั้น ต้องการอย่างนี้จะต้องเลือกที่นั่น จะต้องเลือกที่นี่ จริตไหน โลภะ ไม่เคยทิ้งไปเลยค่ะ อารมณ์ทุกอย่างที่เป็นโลกียะ เป็นอารมณ์ของโลภะได้

เฉพาะ นิพพาน และ โลกุตตรจิตและเจตสิก ที่เกิดร่วมกับ โลกุตตรธรรม เท่านั้นที่ไม่เป็นอารมณ์ของโลภะ

ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ จะมีหนทางที่สติจะระลึกรู้ลักษณะของโลภะไหม ในขณะนั้นๆ บางท่านกล่าวว่า เวลาที่ได้ยินเสียง แล้วสติเกิด รู้สึกสงบ (ขณะนั้น) โลภะหายไปหรือเปล่า หรือว่ายังอยู่ แต่ไม่รู้ว่า ขณะนั้น เป็นความยินดีพอใจ แม้เพียงเล็กน้อย

ขอให้คิดดูว่า การที่จะดับกิเลสนั้น ต้องอบรมเจริญ "ปัญญา" จริงๆ ต้องรู้ "ลักษณะ" ของโลภะ แม้จะแอบแฝงอยู่ในขณะหนึ่งขณะใดก็ตามถ้าเห็นว่า ขณะที่กำลังรู้เสียง แล้วสงบลองพิจารณา สักเล็กน้อยว่า พอใจไหม ที่สงบ ในขณะที่เสียงปรากฏ ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ต้องละ (ความเห็นผิด) เพราะว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นและดับไปถ้าเกิดความสงบขึ้น ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน แต่ก่อนที่ปัญญาจะคมกล้าถึงขั้นที่จะดับหรือละ จะเห็นได้ว่ามีสภาพธรรมที่พอใจหรือติด แม้ในอารมณ์ที่กำลังปรากฏได้ เพราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญา จึงต้องเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ ต้องพิจารณาจริงๆ

ถ้าเผลอสงบ เป็นอย่างไรคะ? ดีใจไหม พอใจไหม

ยังไม่ทั่วไปยังไม่เหมือนกับ สภาพธรรมทั้งหมด "ไม่ใช่เรา" เพราะว่าบางท่าน พอเป็นอกุศลก็ไม่ชอบ ไม่ใช่เรา แต่พอเป็นกุศลก็เป็นเราจริงๆ พอใจจริงๆ ยึดถือจริงๆ

เพราะฉะนั้น ก็ยังไม่ใช่ "ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา" เพราะว่ากุศลยังเป็นเราอยู่หรือความสงบ ยังเป็นเราอยู่มีความต้องการอะไรอยู่บ้างหรือเปล่า
เวลานี้ นึกต้องการกุศล พ้นไปได้ไหม
ต้องการสติ ต้องการปัญญา จนกว่าจะ "ละ" ได้จริงๆ ว่าเป็นเพียงแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดดับๆ เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็น

โลภะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

โทสะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

สติ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ปัญญา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป


ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Komsan
วันที่ 24 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chakri
วันที่ 24 ก.ย. 2551

สาธุ สาธุ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 25 ก.ย. 2551

จนกว่าจะ "ละ" ได้จริงๆ ว่า เป็นเพียงแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดดับๆ เหมือนกันหมด
ไม่ว่าจะเป็น

โลภะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

โทสะ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

สติ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

ปัญญา เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป.

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Noparat
วันที่ 25 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
อิน
วันที่ 25 ก.ย. 2551

พอเป็นอกุศลก็ไม่ชอบ ไม่ใช่เรา แต่พอเป็นกุศลก็ เป็นเราจริงๆ พอใจจริงๆ ยึดถือจริงๆ .

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ คำพูดนี้ ชัดเจนเห็นภาพเลยค่ะ กุศลทีไร เป็นเราทุกที ขาดทุนทุกที เสียท่าให้อกุศล โดนหลอกก็ไม่รู้ตัวเลย พอใจอีกต่างหาก ธรรมะ เป็นเรื่องต้องตรง ต้องละเอียด จริงๆ นะคะ

^-^ ขออนุโมทนาในกุศลจิตในความเป็นมิตรของทุกท่านค่ะ ^-^

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
suwit02
วันที่ 26 ก.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ