ฝันไม่ดีฝันร้ายครับ

 
บัณฑิตทึ่ม
วันที่  17 ก.ย. 2551
หมายเลข  9891
อ่าน  1,260

คืนวันก่อนฝันในเรื่องที่ไม่ดีเป็นเรื่องร้ายแรงมากครับในทางธรรม ควรที่จะทำอย่างไร ถึงแม้เป็นแค่ความฝัน แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ดีและกังวลด้วยครับ เป็นเพราะสะสมเรื่องไม่ดีในจิตมากเกินหรือเปล่า เพราะตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบันไม่เคยฝันเรื่องแบบนี้เลย ช่วยชี้ทางด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ก.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ฝัน คือ จิตคิดนึกถึงสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ... รู้กระทบสัมผัส ที่ผ่านมาในชีวิตประจำวัน ซึ่งควรเข้าใจความจริงว่า ในอดีตสังสารวัฏฏ์ที่เกิดมาสะสมอกุศลมามากมายนับไม่ถ้วน จากการเห็น ได้ยิน ... แล้วก็เป็นอกุศล ดังนั้น จึงเป็นธรรมดา เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ก็ย่อมฝันในสิ่งที่ไม่ดี เป็นอกุศลด้วยจิตที่เป็นอกุศล และหากเข้าใจความจริงมากขึ้น เมื่อยังเป็นปุถุชนแล้ว หากเหตุปัจจัยพร้อม แม้ชีวิตจริง ไม่ใช่ฝัน ก็สามารถล่วงศีลได้เพราะยังมีกิเลสมาก ดังนั้น คงไม่สามารถห้ามให้ฝันหรือไม่ฝันในสิ่งต่างๆ ได้ แต่การอบรมปัญญาคือ เข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าก็คือ สภาพธรรมทั้งหมด ที่เป็นจิต เจตสิกที่ปรุงแต่งจากการสะสมมาทั้งกุศลและอกุศล เป็นธรรมและเป็นอนัตตาด้วย เมื่อเข้าใจความจริงก็คลายความกังวลเพราะเข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 17 ก.ย. 2551

ประโยชน์ที่จะได้จากการฝันที่เป็นอกุศล คือไม่เป็นผู้ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ และเห็นโทษของอกุศลแม้มีประมาณน้อย ซึ่งความคิดเหล่านี้จะเกิดได้อย่างไร ก็เพราะเป็นผู้ที่ไม่ขาดการฟังธรรม เพระการฟังธรรมนั่นเองทำให้ ปัญญาเจริญขึ้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็ย่อมเห็นโทษของอกุศล และการเจริญกุศลทุกประการและเห็นถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม แม้เรื่องที่ฝันเห็นถึงอกุศลที่สะสมมามาก จึงเป็นผู้ไม่ขาดการศึกษาพระธรรม เพราะนำมาซึ่งความเห็นถูกและดับกิเลสจนหมดและเมื่อดับกิเลสหมดแล้ว จึงเป็นผู้ไม่ต้องฝันอีกต่อไป พระอรหันต์ไม่มีการฝันแล้วครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 17 ก.ย. 2551

ในตัวอย่างพระไตรปิฎก ท่านพระอุสเถระ ท่านเป็นผู้ประมาท ไม่บำเพ็ญ สมณธรรม ไม่อบรมปัญญา ท่านจึงไม่มีสติ ฝันในสิ่งที่ไม่ควร เมื่อท่านตื่นขึ้น ก็เห็นว่าท่านประมาท ท่านจึงสลดสังเวชใจ ท่านจึงอบรมปัญญาจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ครับ

ดังนั้น ประโยชน์ของการฝันในสิ่งที่ไม่ดี คือไม่ประมาท ในการศึกษาพระธรรมต่อไปครับ เพื่อดับกิเลส

ขออนุโมทนาครับ

เชิญอ่านเพิ่มเติมในเรื่องความฝันของพระอุสเถระได้ที่นี่ ... ครับ

[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎกขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ ๑๘๑

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 18 ก.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปริศนา
วันที่ 18 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
choonj
วันที่ 18 ก.ย. 2551

ขออนุโมทนาคุณ paderm เขียนได้ดี

ผมก็ขอแสดงความเห็นง่ายๆ คือฝันเป็นเพียงความคิด ฝันเป็นจริงก็มีแต่มีน้อย ฝันเป็นไม่จริงไร้สาระ มีแยะ ฝันเป็นจริงต้องมีปัจจัย คือเทวดาดลใจหรือเทวดาอารักษ์อาจเป็นจริงได้ แต่ผมยังไม่เคยเห็น เพราะฉะนั้น ฝันก็เหมือนคิด และส่วนใหญ่ก็ไร้สาระ แล้วเราจะมากังวลกับสิ่งไร้สาระทำไม อะไรเกิดก็ต้องเกิด ชีวิตก็ตามมีตามได้ ถ้ากังวลก็ทุกข์แล้วขาดทุนแล้ว เอาฝันร้ายเป็นเครื่องเตือนใจไม่ไห้ประมาทตามความเห็นข้างบนดีกว่า ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ajarnkruo
วันที่ 19 ก.ย. 2551

ฝันไม่ดี (เรื่องราวไม่ดีๆ ที่จิตคิดนึกเกิดขึ้นเพราะอกุศลเป็นเหตุปัจจัย) หมดไปพร้อมกับจิตที่เกิดในขณะฝันครับ จะย้อนกลับไปทำอะไรกับความฝันร้ายๆ ที่หมดไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะหมดแล้วก็หมดเลย เหลือแต่เพียงความทรงจำในขณะนี้เท่านั้น ว่าได้เคยฝันร้าย ที่ยังกังวลใจ ทุกข์ใจ เพราะยังยึดสิ่งที่หมดไป ดับไป (ฝันร้ายนั้น) ไว้ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ที่จะสามารถมีอำนาจบังคับบัญชาหรือเรียกร้องสิ่งใดให้เป็นไปตามปรารถนาได้เลยแม้เพียงขณะเดียว ที่ว่าเป็นเราเมื่อวานก็หาไม่เจออีกแล้ว ความสุขของเราเมื่อวานก็สูญสิ้นไปแล้วเรา ในขณะฝันร้ายเมื่อคืนนี้ก็จะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีก ความทุกข์ใจในขณะที่ฝันร้ายก็ดับไปทั้งหมด แต่อัตตสัญญา (สัญญาที่เกิดกับความเห็นผิด) ก็ยังทำให้หลงจำไว้ว่ายังมี "เรา" ทั้งๆ ที่ไม่มี และให้หาจริงๆ ก็หาไม่เจอ ความจริงคือขณะนี้ทุกอย่างกำลังใหม่ทั้งหมด และก็กำลังทยอยสูญสิ้นไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่มีอะไรให้ยึดถือเป็นแก่นสารได้เลย

ถ้าเราได้ศึกษาพระธรรม แล้วก็เกิดปัญญาที่จะค่อยๆ เข้าใจยิ่งขึ้นว่า ความทุกข์ความสุขทั้งหมดที่เกิดในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะทางตา หู จมูก ... ใจ ไม่ใช่เราเลย ก็จะพอช่วยบรรเทาความกังวลใจได้ตามลำดับขั้นของปัญญาครับ ทุกข์ของคุณในกรณีนี้เป็นเพียงความคิดถึงอดีต แล้วก็ห่วงใยไปถึงอนาคตเท่านั้นเอง แต่ผู้ที่จะพบความสุขของการมีชีวิตอยู่ ผู้นั้นจะต้องเข้าใจสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันตรงตามความเป็นจริงโดยความเป็นปรกติครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 20 ก.ย. 2551

เป็นเพียงความฝัน ถ้าเราถึงคิดว่าเราจะต้องตายแน่ๆ ในวันหนึ่ง อีกไม่นาน ก็จะทำให้เราเร่งเพียรทำความดี ไม่ประมาทในกุศลเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะการฟังธรรมทุกครั้ง ที่มีโอกาส สะสมปัญญาและกุศลไว้เป็นที่พึ่งในโลกหน้า ไม่ว่าโลกไหนก็เป็นที่พักชั่วคราว

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 30 ม.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 31 ม.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ