ความสงบ

 
พุทธรักษา
วันที่  18 ส.ค. 2551
หมายเลข  9608
อ่าน  883

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการถอดเทปวิทยุโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ท่านอาจารย์สุจินต์ สนทนาธรรมกับ คุณทรงเกียรติ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจจุดประสงค์จริงๆ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นการยากแต่ไม่ใช่ท้อถอย ไม่ใช่บังคับสติให้เกิด แต่รู้ว่า เพราะมีเหตุปัจจัย ที่จะเกิดอกุศลบ้าง กุศลบ้างแม้กุศลและอกุศลเหล่านั้น ก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

ถ้ารู้อย่างนี้ การเป็นผู้มั่นคงในการเจริญสติปัฏฐานจะทำให้สติระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง

แต่ถ้าท่านจะ "ทำละ" ก็ลำบากนะคะเพราะไม่สามารถทำได้ตลอดเวลาแล้วเวลาไม่ทำ ก็จะไม่รู้เลยว่าลักษณะของสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริงไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล

คุณทรงเกียรติ การเจริญภาวนามี ๒ อย่าง คือวิปัสสนาภาวนาและสมถภาวนามี ๒ ภาวนา ทีนี้ถ้าว่าเป็นวิปัสสนาแล้ว ทำไม่ได้ก็ต้องแล้วแต่ว่า สติเกิดขึ้นในขณะใด ที่ไหน ก็ระลึกที่นั่น.ส่วน สมถภาวนานั้นต้องทำครับ คือว่าในอภิธรรมปิฎก...คัมภีร์ไหน? ก็ลืมแล้วท่านบอกว่า ผู้ที่จะเจริญสมถภาวนานี้ในเวลาปฐมยามต้องเดินจงกรม ในมัจฉิมยามให้นอน ในปัจฉิมยาม ก็ต้องเดินจงกรมอีกเหมือนกัน

ท่านอาจารย์ ขอประทานโทษนะคะ แล้วผู้เจริญวิปัสสนา ต้องทำอย่างนี้ด้วยหรือเปล่าคะ

คุณทรงเกียรติ อาจจะไม่ต้องก็ได้ครับ นี่พูดถึงเฉพาะผู้ที่ทำสมาธิ ทำสมถภาวนาก็บอกแล้วไงครับว่า ผู้ที่ทำวิปัสสนาไม่ต้อง

ท่านอาจารย์ ในอปัณกสูตร ซึ่งเป็นการแสดงถึงข้อปฏิบัติที่ถูกต้องมีการกล่าวถึงยามทั้ง ๓ นี้ด้วย ซึ่งเป็นชีวิตประจำวันหรือเปล่าคะ

คุณทรงเกียรติ ก็ไม่เป็นประจำวันซีครับ ส่วนใหญ่แล้ว เป็นกลางคืนก็นอนกันตอนกลางคืนทั้งนั้น

ท่านอาจารย์ โดยปกติซีคะ.

คุณทรงเกียรติ โดยปกติแล้ว ตอนกลางคืนก็ต้องนอนซิครับ

ท่านอาจารย์ โดยปกติ ทุกคนนอนมาก ใช่ไหมคะ แต่พอฟังแล้ว รู้สึกว่าชีวิตนี้ ตอนไหนมีประโยชน์ตอนหลับ หรือตอนตื่น

คุณทรงเกียรติ ก็แล้วแต่ครับ

ท่านอาจารย์ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่จะอบรมเจริญปัญญา

คุณทรงเกียรติ ตอนตื่นเป็นประโยชน์

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เมื่อเข้าใจว่าตอนตื่นมีประโยชน์ และถ้านอน ก็มักจะหลับ เมื่อเห็นว่า การตื่นมีประโยชน์ จะทำอย่างไรคะ ถ้านอนแล้วมักจะหลับไป ก็ไม่นอน ใช่ไหมคะ เมื่อไม่นอน แล้วจะทำอะไร ก็เดินบ้าง นั่งบ้าง ตามสมควร ต้องเข้าใจจุดประสงค์ที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระธรรมว่า ไม่ใช่เพียงแต่จะให้เกิดความสงบ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วพระผู้มีพระภาค ไม่จำเป็นต้องแสดงเรื่องของสภาพธรรมเรื่องปรมัตถธรรม สภาพธรรมที่เป็นอนัตตาไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ตลอด ๔๕ พรรษา

ท่านผู้ฟังเข้าใจว่า เรื่องของสมภภาวนา เป็นเรื่องต้องทำเข้าใจว่าอย่างนั้นและมีความรู้สึกว่าเป็นตัวตนที่ทำ ใช่ไหมคะ? แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ฉะนั้น ต้องมีบุคคล ๒ บุคคล ที่มีความเข้าใจต่างกัน ถ้ายังเป็นผู้ที่ไม่ซาบซึ้งไม่ประจักษ์ในความหมายของธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาย่อมจะมีความสำคัญผิดว่า เป็นตัวตนที่ทำแต่ถ้าเป็นผู้ฟัง ฟังแล้วพิจารณา แล้วเข้าใจจริงๆ ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็จะรู้ได้ว่าในขณะที่กำลังเห็นนี้ ก็เป็นอนัตตาถ้าเกิดความไม่แช่มชื่นไม่พอใจก็รู้ว่าเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนถ้าเกิดกุศลจิต สงบ ก็รู้ว่าขณะนั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนซึ่งไม่ใช่เราต้องทำแต่ว่าสภาพธรรมทั้งหลายทำกิจและเกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัย

ถ้าไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่อง "ความสงบของจิต" จิตก็ย่อมจะไม่สงบขึ้น แต่เป็นเพราะอาศัยความรู้เป็นปัจจัย พร้อมกับสังขารขันธ์อื่นๆ เช่น สัทธา สติ วิริยะ สมาธิ เป็นต้น ทำให้ความสงบเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น แต่ว่าผู้ที่เข้าใจเรื่อง"สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา" ย่อมรู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิตไม่ว่าจะเป็นความสงบเพียงเล็กน้อย หรือว่าความสงบที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ก็ไม่ไช่เรา แต่ว่าเป็นสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แล้วสติปัฏฐานเท่านั้นสามารถที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมที่สงบหรือเป็นสภาพธรรมที่ไม่สงบ ทั้งหมดไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

ขออนุโมทนา.

ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่ญาติมิตรที่ล่วงลับ

และสรรพสัตว์ ที่ล่วงรู้ได้อนุโมทนาร่วมกันค่ะ.

ในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ แสดงไว้ว่า ทานมี ๒ อย่าง คือ เจตนาทาน หมายถึง เจตนา คือ ความตั้งใจ ที่เป็นเหตุแห่งการให้ทาน ว่าโดยปรมัตถ์ ได้แก่ เจตนาเจตสิก วัตถุทาน
หมายถึง สิ่งของที่ควรให้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
pornchai.s
วันที่ 18 ส.ค. 2551

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 18 ส.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 18 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 19 ส.ค. 2551

สติปัฏฐานเท่านั้น สามารถที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรม ที่สงบ หรือเป็นสภาพธรรมที่ ไม่สงบ ทั้งหมดไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
prakaimuk.k
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 19 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ajarnkruo
วันที่ 19 ส.ค. 2551

กว่าจะไถ่ถอนความเห็นผิด ว่ามีตัวตนที่เป็นไปกับความสงบหรือไม่สงบออกไปได้เป็นจิรกาลภาวนาหนทางเดียว คือ เจริญสติปัฏฐานศึกษาสภาพธรรมะที่กำลังมีปรากฏในขณะนี้

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 19 ส.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Pararawee
วันที่ 20 ส.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 20 ส.ค. 2551

สติเป็นเจตสิก 1 ในมรรคมีองค์แปด ทำกิจไม่หลงลืม ระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pornpaon
วันที่ 20 ส.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pamali
วันที่ 16 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ