แม้สั่งสมมาต่างกันก็บรรลุได้...หากไม่ขาดการเจริญสติปัฏฐาน

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอน จากการถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

คุณทรงเกียรติ "ท่านพระโปฎฐิละ" ท่านไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาตลอดพระพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์ ท่านเป็นอาจารย์สอนธรรมะ แต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ส่วนใหญ่ สายกรรมฐานในประเทศไทยนี้ ตำหนิการศึกษา มักจะยกเอาท่านพระโปฏฐิละ ขึ้นมาอ้าง ว่า ผู้ปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องศึกษา เพราะว่าผู้ที่จะรู้แจ้งมรรคผล นิพพานจะต้องเกิดจากการปฏิบัติเท่านั้น แต่ท่านลืมว่า คัมภีร์เปล่าเหล่านั้น ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในที่สุด

ท่านอาจารย์ ที่จะบรรลุได้ ต้องปฏิบัติค่ะ ต้องมีสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามที่ได้ศึกษามาจากพระพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์

คุณทรงเกียรติ แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่ามีการปฏิบัตินี่

ท่านอาจารย์ ในขณะที่เป็นชาติสุดท้าย ชาติเดียว ไม่พอสำหรับการที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

คุณทรงเกียรติ ใช่ครับ แต่ในคัมภีร์ก็ไม่ได้ปรากฏว่า ท่านได้ปฏิบัติ บอกแต่ว่า ท่านอาจารย์สอนปริยัติมาในสมัยของพระพุทธเจ้าถึง ๗ พระองค์

ท่านอาจารย์ "ท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี"เคยเจริญสติปัฏฐานมาก่อนที่จะได้เฝ้าฟังธรรมหรือเปล่าคะ เพียงแต่ได้ฟัง ก็บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบันบุคคล ไม่ต้องถึงคัมภีร์มากมายหลายคัมภีร์ในชาตินั้นเลย เพียงได้ ฟังสั้นๆ แต่หมายความว่า ท่านเป็นผู้ที่เคยอบรมเจริญ "เหตุ" มาแล้ว สมควรที่ "ผล" คือ การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมจะเกิด ก็เกิดได้

เพราะฉะนั้น สำหรับท่านพระโปฏฐิละ ก็เหมือนกันค่ะ ก็ต้องมีอดีตชาติซึ่งท่านอบรมสะสมมาแล้วการเจริญเหตุที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมต้องมีมาก่อนนั้น จะบรรลุเมื่อไร ก็เรื่องของแต่ละบุคคลที่ได้สะสมมา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็จะต้องมีการฟังเรื่องของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฎ จนเข้าใจจริงๆ

เพราะฉะนั้น การฟังธรรม คือ การฟังเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏให้ละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้น ลึกซึ้งขึ้น จนกว่าจะเป็นปัจจัยให้สติเกิดแล้วศึกษา จนกว่าจะรู้ชัดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เอง

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลให้ คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์