เมื่อท่านต้องร่วมในพิธีกรรมต่างๆ ควรพิจารณาอย่างไร

 
Sam
วันที่  14 ก.ค. 2551
หมายเลข  9248
อ่าน  1,276

สองสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมต้องเข้าร่วมพิธีศพของญาติผู้ใหญ่ของภรรยาซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน พิธีศพเป็นแบบจีนซึ่งใช้เวลานานและมีแบบแผนเฉพาะอย่างยิ่ง ซึ๋งผมไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตามผมก็ช่วยเป็นธุระในงานและให้ความร่วมมือทำตามพิธีกรรมอย่างเรียบร้อย เพราะเข้าใจว่าเป็นประเพณีของครอบครัวเจ้าภาพ เมื่อต้องทำความเคารพผมก็จะน้อมระลึกถึงพระรัตนตรัยบ้าง คุณของเทวดาบ้าง และผู้ตายบ้าง ทำให้ระลึกถึงคุณของการศึกษาพระธรรมที่ช่วยให้อยู่ร่วมในสังคมได้อย่างเป็นสุข ซึ่งถ้าเป็นสมัยก่อนหากต้องทำตามในสิ่งที่ไม่เข้าใจ ไม่มีคำอธิบายอย่างมีเหตุผล ก็เป็นอันต้องอึดอัด โกรธ และไม่พอใจ (แม้จะไม่ค่อยแสดงออกมา)

จึงขอแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทุกท่านครับว่า เมื่อมีความจำเป็นต้องเข้าร่วมในพิธีกรรมคล้ายกันนี้ หรือพิธีกรรมตามคำสอนอื่นๆ ควรมีการพิจารณาอย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 15 ก.ค. 2551

การที่เรากระทำตามประเพณีต่างๆ มิได้หมายความว่าเราเชื่อถืออย่างนั้น แต่ป้องกันอกุศลของผู้อื่นที่จะเกิดขึ้นเพราะเราไม่ทำตาม ขณะที่กราบไหว้ก็กล่าว นะโม ตัสสะ ภควโต อรหโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ก็ได้ ผมคิดว่าไม่มีผลเสียแต่ประการใด แต่ถ้าไปการคัดค้านหรือปฏิเสธ จะทำให้มีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้นอีกเยอะเลยครับ เพราะคนทั่วไปไม่ได้ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่รู้สิ่งที่ควรทำหรือไม่ควร

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
opanayigo
วันที่ 15 ก.ค. 2551

ทุกขณะเป็นสภาพธรรม เกิด ปรากฎ หมดไป ตามเหตุปัจจัยที่เราได้ทำไว้แล้ว เมื่อเข้าใจ จึงยอมรับ ด้วยใจที่เป็นกลาง ชีวิตมีแต่ความอึดอัด ขัดข้องอยู่ตลอดเวลา เพราะเราไม่รู้ (กำลังอบรมปัญญาเช่นกันค่ะ)

ขออนุโมทนานะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prakaimuk.k
วันที่ 15 ก.ค. 2551

ก็ไปร่วมงานเพื่อให้หลายๆ ฝ่ายสบายใจ ตามเหตุตามปัจจัยค่ะ เจริญสติทุกเมื่อเท่าที่จะทำได้ สนทนากับผู้ร่วมงานด้วยวาจาที่จริงและจริงใจ การร่วมพิธีการทางศาสนาก็ทำด้วยการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยค่ะ ไม่ได้ยึดติดหรือขัดใจกับรายละเอียดปลีกย่อยใดๆ เพราะเข้าใจว่าทุกอย่างก็เป็นเพียงสภาพธรรมเท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 15 ก.ค. 2551

ขออนุโมทนาผู้ตั้งกระทู้และผู้ตอบทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 15 ก.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กับคำว่า ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน

พระธรรมไม่ได้แยกไปจากชีวิตประจำวัน กุศลเกิดได้ในชีวิตประจำวัน อกุศลเกิดได้ในชีวตประจำวัน ดังนั้น การใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะอยู่เหตุการณ์ใดก็ตาม หากมีความเข้าใจถูกในพระธรรมแล้ว ก็สามารถเกิดกุศลจิตที่เป็นการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันได้ การช่วยเหลือ การพูดวาจาอ่อนหวาน นึกถึงบุคคลอื่น การให้อภัยดังนั้นแม้เหตุการณ์จะเป็นไปทางเห็นผิด ไม่ถูกต้อง แต่กุศลจิตก็เกิดได้ แม้อยู่ในสถานการณ์นั้นเพราะทุกอย่างเป็นธรรมและอนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 15 ก.ค. 2551

และแม้อยู่ในเหตุการณ์ที่เป็นไปในทางเห็นถูก เช่น ในวงการสนทนาธรรมในทางที่ถูกต้องก็เกิดอกุศลได้ ตามเหตุปัจจัย เป็นธรรมและเป็นอนัตตา จึงไม่ได้มีการให้บังคับว่าให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้เมื่ออยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่เมื่อมีความเห็นถูก กุศลก็เกิดได้และเมื่อยังมี อกุศลอยู่ อกุศลก็เกิดได้ครับ ไม่ว่าเหตุการณ์ใดก็ตาม เพราะชีวิตอยู่กับธรรมตลอดเวลาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 15 ก.ค. 2551

ดังเช่นตัวอย่างในพระไตรปิฎกที่ผู้หญิงผู้เป็นภรรยาเป็นพระโสดาบัน แต่สามีเป็นนายพราน ล่าสัตว์ สามีให้ภรรยาผู้เป็นพระโสดาบัน หยิบอาวุธสำหรับฆ่าสัตว์ให้ ท่านก็หยิบให้ ท่านทำหน้าที่ภรรยา แต่ท่านไม่มีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่คุณ k กล่าวมาครับ เราช่วยเหลือได้ แต่ไม่ได้มีความเห็นผิด เช่นเดียวกับเขา

ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า

" ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้, บุคคลพึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่ามือได้, เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าสู่ฝ่ามือที่ไม่มีแผล ฉันใด, บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่ฉันนั้น."

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 16 ก.ค. 2551

ข้าพเจ้าเกิดมาในสังคมที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าและเกิดอกุศลจิตทุกครั้งที่ต้องได้เห็น ได้ยินแต่เป็นกุศลวิบากที่ผู้นำครอบครัว (คุณพ่อ) ได้สอนเรื่องกรรมและผลของกรรมอยู่เสมอ เช่น ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์รอบข้างที่เห็นชัดๆ เป็นต้นแต่ท่านไม่เคยสนับสนุน หรือต่อต้านพิธีกรรมที่สืบทอดมาเป็นร้อยปีนี้เลย บางครั้งในงานศพ จะมีการเล่นการพนันกันจนสว่างเป็นเรื่องปกติในละแวกบ้าน โดยมีเหตุผลว่าเป็นการเฝ้าศพท่านไม่เคยไปเล่นด้วย แต่ไม่เคยวิจารณ์เพียงแต่บอกว่าถ้าเชื่อเรื่องกรรม ไม่ต้องเดือดร้อนใจ ไม่ต้องโทษใคร

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 16 ก.ค. 2551

สำหรับตัวผมเอง มีคำสั้นๆ ที่พิจารณาในทุกสถานการณ์คือ

"...สำคัญที่ใจ..."

ขออนุโมทนาคุณ K และท่านกัลญาณมิตรทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
choonj
วันที่ 16 ก.ค. 2551


งานพิธีกรรมต่างๆ ที่มีมาแต่โบร่ำโบราณเป็นความเชื่อถือของคนจำนวนมากในศาสนาของเขาซึ่งเราควรให้ความเคารพและยอมรับเพราะเป็นของเขา เมื่อเราจำเป็นต้องไปงานก็ควรระวังไม่ให้อกุศลพาไปจนเป็นเหตุให้เดือดร้อน

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 16 ก.ค. 2551

ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม สุดยอดของความเข้าใจคือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ajarnkruo
วันที่ 16 ก.ค. 2551

ผมเคยทำงานอยู่ในสถานที่ๆ เขานับถือศาสนาอื่นซึ่งเชื่อถือในเรื่องของพระเจ้ามาก่อนครับ ที่ทำงานก็มีผู้ที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ด้วย แม้จะไม่ได้ศึกษาพระธรรมมากเท่าไรแต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ไม่มีปัญหาความขัดแย้งในเรื่องของความคิดเห็นอะไร เวลาที่มีกิจกรรมต่างๆ เช่น สวดสรรเสริญ อ้อนวอนพระเจ้า ร้องรำทำเพลง บริจาคเงิน ก็ร่วมทำไป แต่สักแต่ว่าทำไปเท่านั้นจริงๆ ไม่เห็นใครจะเปลี่ยนไปนับถือพระเจ้าเลยครับ บางท่านที่สูงอายุ ท่านก็ยังเป็นชาวพุทธ แม้จะไม่ได้ศึกษาพระธรรมเท่าไร เพียงแต่ทำบุญรักษาศีล ก็ยังทำงานที่นั่นมาจนจวนจะเกษียณก็มี ผมว่า ศาสนาพุทธเป็นเพียงศาสนาเดียวที่ไม่บังคับ แบ่งแยก กีดกัน การกระทำของบุคคลใดเลย จึงทำให้ชาวพุทธอยู่ร่วมกับใครก็ได้ ยิ่งถ้าหากเราได้เข้าใจว่าทุกอย่างเป็นแต่เพียงธรรมะแล้ว เราก็จะยิ่งเกิดความเห็นใจในบุคคลอื่นได้มากขึ้น และทุกอย่างก็ย่อมจะดีขึ้นครับ ...ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
พุทธรักษา
วันที่ 16 ก.ค. 2551

สืบเนื่องจากความเห็นที่ ๑๐ขออนุญาติแสดงความเห็นส่วนตัวนะคะ..ว่าก่อนที่เราจะให้การเคารพและยอมรับสิ่งใดควรพิจารณาก่อนว่าสิ่งนั้นเป็นความเห็นถูกหรือเห็นผิด การไม่ยอมรับ ไม่ได้หมายความว่าต่อต้าน แต่เป็นการยอมรับสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า การสั่งสม (ในจิต) ของสรรพสัตว์ เป็นอนัตตา.

ส่วนอกุศลจะเกิดหรือไม่ ใครบังคับได้? อย่างมากก็ระลึกรู้ได้ว่า เมื่ออกุศลมีปัจจัยให้เกิดก็ต้องเกิดเกิดแล้ว ก็ต้องดับ เป็นธรรมดา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Pararawee
วันที่ 18 ก.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เมตตา
วันที่ 18 ก.ค. 2551

พระพุทธศาสนาแตกต่างกับศาสนาอื่นอย่างสิ้นเชิง พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นมีความสุขุม ลุ่มลึกในอรรถเป็นอย่างยิ่ง สอนให้ผู้ศึกษารู้ความจริงของชีวิตว่าเป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดสาย เป็นคำสอนที่มีเหตุผลไม่ใช่เชื่อโดยไม่มีเหตุผลตามๆ กันมา พระพุทธองค์ทรงแสดงสภาพธรรมทั้งหลายแต่ละอย่างมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นแตกต่างกันไป มีเหตุปัจจัยให้เกิดก็เกิดตามเหตุปัจจัยนั้นๆ เกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่ได้ สภาพธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาพระธรรมสอนให้เราเกิดปัญญาจริงๆ แต่บางศาสนายังเต็มไปด้วยพิธีกรรมต่างๆ การกระทำต่างๆ ที่เชื่อถือปฎิบัติตามๆ กันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ แม้แต่เราเองเป็นชาวพุทธก็ยังได้เห็นการกระทำพิธีกรรมต่างๆ ที่กระทำสืบต่อมาจากบรรพบุรุษเช่นกัน หากเราต้องไปในพิธีกรรมต่างๆ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะได้พบเจอ ก็อย่างที่หลายๆ ความเห็นที่ได้แสดงไว้หากเราเป็นผู้มีความเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต ความจริงที่เกิดขึ้นขณะหนึ่งๆ ก็ไม่พ้นไปจากทวารทั้ง ๖ ทางตา ทางหู ทางจมูก....ซึ่งก็เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง เรากลับจะรู้สึกเมตตา เห็นใจคนเหล่านั้น หากมีโอกาสก็จะได้สนทนาให้เขาเหล่านั้นได้เข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของพระธรรมเท่าที่จะทำได้ให้เขาได้เข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีอยู่ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ทุกเมื่อค่ะ

ขออนุโมทนาทุกความเห็นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
choonj
วันที่ 18 ก.ค. 2551

ขออนุญาติสนทนากับความคิดเห็นที่ ๑๓ ครับ ผมพื่งเปิดเว็บวันนี้เห็นข้อความเลยขอสนทนาด้วย เมื่ออ่านความคิดเห็นแล้ว ดูเหมือนว่าสภาพธรรมไม่ยอมรับเกิด เมื่ออยู่ในพิธีกรรมของศาสนาอื่นแน่นอนความเห็นย่อมผิดไปจากพุทธ ขณะที่อยู่ในงานและไม่ยอมรับเกิด เราไม่น่าที่จะทำอะไรได้นอกจากยอมรับและเคารพงานของเขา เพราะถ้าเราแสดงความไม่ยอบรับและเคารพทางกายวาจาใจในงานเขาก็ไม่ใช่ชาวพุทธที่จะทำได้ พิธีกรรมต่างๆ ของโบราณมีผู้เชื่อถือหลายร้อยล้านคน อย่างน้อยๆ เราควรเคารพการเชื่อถือของเขา เห็นด้วยครับอกุศลจะเกิด ไม่มีใครบังคับได้ เกิดแล้วก็ดับ แต่ควรสังวรปธานไม่ให้อกุศลพาไปจนเป็นเหตุให้เดือดร้อน

คุณพุทธรักษาเป็นกัลยาณมิตรที่ดีคอยเตือน ผมยินดีเป็นมิตรทางเว็บด้วยคนครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
พุทธรักษา
วันที่ 27 ก.ค. 2551


ทุกคนมีสิทธิอันชอบธรรมในการแสดงความเห็นค่ะ แม้ความเห็นที่อ้างอิงพระพุทธพจน์ ยังต้องพิจารณาอรรถกถาประกอบเพื่อไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อนยิ่งเป็นความเห็นส่วนตัว ยิ่งต้องการกัลยาณมิตรและต้องไม่เชื่อง่ายๆ หากคำพูดใดที่ไม่เกื้อกูลต่อกุศลจิตของผู้อ่าน ข้าพเจ้าต้องขออภัยจริงๆ (เพราะสะสมมาที่จะพูดตรงๆ ขาดมธุรสวาจา) หากความเห็นของข้าพเจ้าผิดไป กรุณาตักเตือนเพื่อพิจารณาให้ดี
และขออนุโมทนาคุณชุณห์เช่นกันที่รับฟังและเข้าใจเจตนาของข้าพเจ้า.
ขอนอนน้อมแด่พระรัตนตรัย.

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ