ขอถามเรื่องกุศลครับ

 
golf1983
วันที่  3 มิ.ย. 2551
หมายเลข  8799
อ่าน  957

เวลาเรารู้สึกตัวเช่น เดิน นั่ง จะเป็นกุศลหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ ทำไมพระบางองค์ถึงให้รู้แต่อิริยาบถล่ะครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 4 มิ.ย. 2551

การรู้สึกตัวว่า เรากำลังนั่ง เรากำลังยืน เรากำลังเดิน เรากำลังนอน จิตเป็นอกุศลก็มีจิต เป็นกุศลก็มี ถ้าขณะใดที่จิตไม่เป็นไปในทาน ศีล ภาวนา พึงทราบว่า ชวนจิต ของปุถุชนทั้งหลายเป็นไปกับอกุศลทั้งหมด แม้ว่าจะรู้ตัวว่ากำลังนั่งอยู่ก็ตาม ดังนั้นการศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องละเอียด การปฏิบัติธรรมก็เป็นเรื่องละเอียด ควรศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อการไม่เป็นผู้เข้าใจผิดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Sam
วันที่ 4 มิ.ย. 2551

ขออนุโมทนาความคิดเห็นที่ 1 ครับ

พระธรรมเป็นคำสอนเพื่อให้เกิดความเข้าใจของตน โดยไม่เชื่อถือตามเพียงเพราะมีผู้กล่าวไว้อย่างนั้น

ความเข้าใจเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยการค่อยๆ ศึกษาให้เข้าใจว่า กุศลคืออะไรอกุศลคืออะไร ที่เรียกว่าเราหรือของเรานั้นจริงๆ แล้วคืออะไร เพราะสิ่งเหล่านี้มีความละเอียดเกินกว่าที่ใครจะคิดไปเองว่ารู้อยู่แล้ว เข้าใจแล้ว ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว มิฉะนั้นแล้ว การตรัสรู้และการแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคก็คงไม่ใช่สิ่งพิเศษที่เกิดขึ้นในโลก

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 4 มิ.ย. 2551

การรู้สึกตัวในการเดิน การนั่ง การนอน เป็นไปด้วยโลภะก็ได้ โทสะก็ได้ โมหะก็ได้ หรือมีสติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ ในการเดิน นั่ง ก็ได้ แต่ไม่ใช่ตัวตนไปจดจ้อง ท่าเดิน ท่านั่ง ต้องเป็นปัญญาที่รู้ความต่างกันของขณะที่สติเกิดกับขณะที่หลงลืมสติค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
baramees
วันที่ 4 มิ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การอบรมเจริญวิปัสสนานั้น เป็นเรื่องของปัญญา ในการรู้ว่าขณะนี้กำลังเดิน กำลังนั่ง ขณะนั้นปัญญารู้อะไร ถามเด็ก เด็กก็รู้ว่าเดิน นั่ง ขณะนั้นปัญญารู้อะไร ในอรรถกถาสติปัฏฐานสูตรได้อธิบายว่า สุนัขบ้านก็รู้ว่า เดิน นั่ง แต่ไม่ใช่การอบรมปัญญา การอบรมปัญญาที่ถูกต้องนั้นหมายความว่าไม่ว่าอิริยาบถใดก็มีธรรม อะไรคือธรรม สิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ เห็น มีจริงเป็นธรรม เสียงมีจริง เป็นธรรม แข็งมีจริง เป็นธรรม เป็นต้น มีจริงไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถใด และที่สำคัญควรมีความมั่นคงจากการฟังในเรื่องที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้ สติก็เป็นธรรมและเป็นอนัตตาบังคับไม่ได้ด้วย จึงไม่มีตัวตนที่จะไปเลือกที่จะไปกำหนดให้รู้ตรงนั้น ตรงนี้ ซึ่งขัดกับความเป็นอนัตตาและไม่ใช่สติ แต่มีความต้องการจดจ้องซึ่งเป็นโลภะ โดยไม่รู้ตัวเลยดังนั้นควรเข้าใจขั้นการฟังพื้นฐานว่าธรรมคืออะไร ฟังให้เข้าใจ มีธรรมเป็นที่พึ่งไม่ใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เชื่อเพราะเป็นเหตุผลตรงกับธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดง

ขออนุโมทนาเชิญคลิกฟังที่นี่....ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง
ต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ
ศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 มิ.ย. 2551

ควรศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจก่อนที่จะไปปฏิบัติในสิ่งที่ท่านเองก็ยังไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาสอนให้รู้ เพื่อละความไม่รู้เมื่อศึกษาจนรู้บ้างแล้ว ก็จะทราบหนทางที่ถูกต้องด้วยปัญญาของท่านเอง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พาราระวี
วันที่ 5 มิ.ย. 2551

ทำไมจึงเชื่อตามผู้อื่นว่าการเดินหรือการนั่งจึงจะเป็นกุศลล่ะคะ?

เป็นเหตุเป็นผลหรือไม่ เป็นสิ่งที่จะต้องคิดเอง ไม่ใช่เชื่อตามพระบางรูปที่กล่าวตามๆ กันมา ดังนั้นจึงควรศึกษาเองให้เข้าใจเสียก่อนว่าอิริยาบถคืออะไร? รู้อิริยาบถแล้วได้ประโยชน์ตรงไหนหรือเปล่า? และที่สำคัญเพื่ออะไร?

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
suwit02
วันที่ 5 มิ.ย. 2551
สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
นวล
วันที่ 6 มิ.ย. 2551

จากบารมี ๑๐ ในชีวิตประจำวัน หน้าที่ ๑

ถ้ามุ่งที่จะให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน โดยไม่คำนึงถึงการอบรมเจริญบารมี ก็ต้องพ่ายแพ้ต่ออกุศลธรรม เพราะอกุศลธรรมมีปัจจัยเกิดขึ้นมากกว่ากุศลธรรม

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ