สงสัยเกี่ยวกับนิพพานครับ

 
Endeavor
วันที่  29 พ.ค. 2551
หมายเลข  8751
อ่าน  1,149

ปรมัตถธรรมทั้งหลายเป็นสังขารธรรม ไม่เที่ยงเพราะเมื่อมีการเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป ยกเว้นนิพพาน ซึ่งเป็นโลกุตตรธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด และไม่แตกดับ แต่เมื่อโลกุตตรจิต (ซึ่งเป็นสังขารธรรม) ของพระอริยสาวกเกิดขึ้นโดยมีนิพพานเป็นอารมณ์กระทำกิจดับกิเลสแล้วดับไป ในขณะนั้นนิพพานเกิดดับด้วยหรือเปล่าครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 30 พ.ค. 2551

ปรมัตถธรรม ๓ คือ จิต เจตสิก รูป เกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา พระนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับ ไม่ว่าจะมีจิตรู้พระนิพพานหรือไม่รู้ก็ตาม สภาพของพระนิพพานก็เป็นอย่างนั้น คือ ไม่เกิด เพราะไม่เกิดจึงไม่มีการดับครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 30 พ.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เจริญในธรรม
วันที่ 30 พ.ค. 2551

แล้วอย่างผู้ที่เข้าพระนิพพานแล้ว สามารถที่จะมีจิตหรือต้องการที่จะไปภพภูมิ อื่นๆได้หรือไม่ เช่น การไปสงเคราะห์ญาติในอดีต หรือเยี่ยมเยียนผู้ที่รู้จัก

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
study
วันที่ 30 พ.ค. 2551

ผู้ที่เข้าสู่พระนิพพานแล้ว คือพระอรหันต์ดับขันธปรินิพพาน ดับ จิต เจตสิก รูป ไม่มีอะไรเหลือแล้ว การดับโดยรอบไม่มีอะไรเหลือในภพใดอีกเลย แล้วจะมีความรู้สึกหรือมีความต้องการใดๆ ได้อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ajarnkruo
วันที่ 30 พ.ค. 2551

ถ้าหมายถึงว่า หากพระอรหันต์ท่านจะมีความเมตตากรุณาที่จะไปเกื้อกูลผู้อื่นที่อยู่ในภพภูมิอื่น โดยที่ท่านเป็นพระอรหันต์ผู้ได้ฌานจิต มีอิทธิฤทธิ์ตามกำลังของฌานที่ได้บรรลุแล้ว ก็ย่อมได้ครับ ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน หายากที่ใครจะไม่เคยเป็นอะไรกับใครในฐานะใดมาแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านคงจะไม่เพียงเจาะจงว่า ท่านต้องการจะไปหาญาติของท่านในชาติก่อนๆ ชาติใดชาติหนึ่งด้วยความเยื่อใยผูกพันอีก เพราะเหตุว่า ท่านดับโลภะได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉทครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kulwilai
วันที่ 30 พ.ค. 2551

พระนิพพานไม่ใช่จิตเจตสิตและรูป จึงไม่ใช่ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง จึงไม่เกิดไม่ดับอย่างจิตเจตสิกและรูป พระนิพพานเป็นอารมณ์ของโลกุตตรจิต โลกุตตรจิตไม่มีจิตเจตสิกและรูปเป็นอารมณ์ จึงว่างจากธรรมที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และ ขณะที่โลกุตตรจิตเกิดขึ้นขณะนั้นสามารถดับอนุสัยกิเลส จิตเจตสิกและรูปซึ่งล้วนแต่เป็นธรรมที่มีในขณะนี้ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะรู้ลักษณะที่เป็นธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริง ย่อมไม่รู้ถึงความไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน และย่อมไม่รู้ถึงปัจจัยที่ให้ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้น การเกิดดับของธรรมเหล่านี้ย่อมไม่มีทางรู้ได้เช่นกันการเห็นโทษของธรรมที่เป็นทุกข์ และความเบื่อหน่ายด้วยปัญญาก็มีไม่ได้ แล้วโลกุตตรจิตที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์จะมีได้อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 30 พ.ค. 2551

ควรศึกษาธรรมะที่มีจริงในขณะนี้ เห็นมีจริงเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ได้ยินมีจริงเป็นธรรมะไม่ใช่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับ ปัญญาพิสูจน์ได้ในขณะนี้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Endeavor
วันที่ 30 พ.ค. 2551
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่เอื้อเฟื้อตอบคำถามครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
อนุโมทนา
วันที่ 30 พ.ค. 2551
อ้างอิงจาก : หัวข้อ โดย Endeavor ปรมัตถธรรมทั้งหลายเป็นสังขารธรรม ไม่เที่ยงเพราะเมื่อมีการเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป ยกเว้นนิพพาน ซึ่งเป็นโลกุตตรธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด และไม่แตกดับแต่เมื่อโลกุตตรจิต (ซึ่งเป็นสังขารธรรม) ของพระอริยสาวกเกิดขึ้นโดยมีนิพพานเป็นอารมณ์กระทำกิจดับกิเลส แล้วดับไป ในขณะนั้นนิพพานเกิดดับด้วยหรือเปล่าครับ

สิ่งที่เป็นอารมณ์ของจิต มีทั้งสังขารธรรมและวิสังขารธรรม (นิพพาน)

นิพพานเป็นอารมณ์ของจิตได้ แต่ไม่เกิดดับ สิ่งที่เกิดดับคือ จิตที่มีนิพพานเป็นอารมณ์และสังขารธรรมอื่นๆ ทั้งหมด

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
อนุโมทนา
วันที่ 30 พ.ค. 2551
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 3 โดย เจริญในธรรม

แล้วอย่างผู้ที่เข้าพระนิพพานแล้วสามารถที่จะมีจิตหรือต้องการที่จะไปภพภูมิ อื่นๆ ได้หรือไม่ เช่นการไปสงเคราะห์ญาติในอดีต หรือเยี่ยมเยียนผู้ที่รู้จัก

นิพพาน มี ๒ อย่างคือ สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสหมดแต่ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีขันธ์ ๕ ในภพภูมิมนุษย์ เป็นต้น อนุปาทิเสสนิพพาน ดับหมดไม่มีเหลือคือ ปรินิพพานแล้วดับ จิต เจตสิก รูป (ขันธ์ ๕) ไม่เกิดอีกเลย เช่น เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน เมื่อพระชนม์ ๘๐ พรรษา ดับไม่เหลือ คือไม่เกิดขันธ์ ๕ ขึ้นอีก

ดังนั้นจากคำถามผู้ที่เข้าถึงนิพพาน ถ้าเป็นประเภทแรก (สอุปาทิเสสนิพพาน) คือดับกิเลสหมดแล้วแต่ยังมีชีวิต ก็ยังมีจิต และถ้าท่านได้อภิญญา ที่มีฤทธิ์ก็สามารถไปอนุเคราะห์ผู้อื่นที่ภพภูมิอื่นได้ แต่หากเป็นการดับหมดไม่เหลือคือ ไม่เกิดขันธ์ ๕ อีก (อนุปาทิเสสนิพพาน) เมื่อไม่มีจิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นอีก ก็ไม่สามารถไปได้ (หาญาติ) เพราะสิ่งที่จะไป สิ่งนั้นต้องเกิดขึ้น ซึ่งอนุปาทิเสสนิพพาน ดับรอบหมดไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
suwit02
วันที่ 31 พ.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
khampan.a
วันที่ 31 พ.ค. 2551

ปรมัตถธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะได้ สภาพธรรมเมื่อกล่าวโดยสรุป มี ๒ ประเภท คือ นามธรรมกับรูปธรรม สำหรับนามธรรม มีทั้งนามธรรมที่รู้อารมณ์ และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ (นามธรรมที่รู้อารมณ์ ได้แก่ จิต และ เจตสิก ส่วนนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่ พระนิพพาน) สภาพธรรมทุกประเภท เป็นอารมณ์ของจิต (อารมณ์ หมายถึง สิ่งที่จิตรู้) ครับ ดังนั้น ไม่มีสภาพธรรมใดที่ไม่เป็นอารมณ์ของจิตเลย ครับ ซึ่งรวมถึงพระนิพพานซึ่งเป็นอารมณ์ของโลกุตตรจิตด้วย ขณะที่โลกุตตรจิตเกิดขึ้น โลกุตตรจิต (รวมถึงเจตสิกที่เกิดพร้อมกัน) ในขณะนั้น รู้อารมณ์เดียวกัน คือ พระนิพพาน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 31 พ.ค. 2551

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เมตตา
วันที่ 31 พ.ค. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิต คุณkulwilai คุณอนุโมทนา คุณkhampan.a ด้วยค่ะเข้าใจชัดเจนมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
narong.p
วันที่ 1 มิ.ย. 2551

โลกุตตรจิตมีเพียงนิพพานเป็นอารมณ์เท่านั้น ซึ่งโลกุตตรจิตก็เกิดดับ เหมือนกับกามาวจรจิต แล้วเจตสิกที่เกิดร่วมกับโลกุตตรจิต ต่างจากเจตสิกที่เกิดกับกามาวจรจิตอย่างไรหรือไม่ อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
narong.p
วันที่ 1 มิ.ย. 2551

นิพพานเป็นธรรมที่ลึกซึ้งและแสนไกล การรู้ในวันนี้จึงเป็นการรู้พยัญชนะ ยังไม่สามารถรู้อรรถของสภาพนิพพานได้ จึงไม่ควรกังวลใจหากยังไม่สามารถเข้าใจได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นปรากฏในขณะนี้ คือสภาพธรรมที่ควรรู้ด้วยความเข้าใจถูก สะสมไป ตามลำดับ ด้วยความมั่นคงและเบาสบาย

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
kulwilai
วันที่ 1 มิ.ย. 2551

โลกุตตรจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เป็นสังขารธรรมเกิดเพราะมีปัจจัยปรุงแต่งโดยระดับของจิต โลกุตตรจิตจึงจัดอยู่ในโลกุตตรภูมิซึ่งเป็นภูมิของจิตที่สูงสุด ภูมิของจิตจึงมีตั้งแต่กามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ และโลกุตตรภูมิ เจตสิกเกิดกับจิตดับพร้อมจิตและรู้อารมณ์เดียวกับจิต จิตและเจตสิตที่เกิดร่วมกันไม่แยกจากกัน จิตอยู่ในภูมิใดเจตสิกก็อยู่ในภูมินั้น การอบรมปัญญาจึงเป็นไปตามลำดับ การรู้ธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นจิตเจตสิกและรูป เป็นนามธรรมและรูปธรรม มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือบังคับบัญชาได้ เกิดแล้วดับไป ถ้าไม่รู้ธรรมที่เกิดดับในขณะนี้ ย่อมไม่สามารถรู้พระนิพพานที่ไม่เกิดดับได้เลย

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
narong.p
วันที่ 1 มิ.ย. 2551

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
orawan.c
วันที่ 2 มิ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
เซจาน้อย
วันที่ 3 มิ.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
นิโรธะ
วันที่ 5 มิ.ย. 2551

ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่าสังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงจุดประสงค์คือ การไม่ยึดมั่นในสังขารทั้งหลาย เพราะการยึดมั่นในสังขารทั้งหลายเป็นความทุกข์ เมื่อไม่ยึดมั่นแล้วจึงเกิดนิโรธคือ ความดับทุกข์หรือนิพพาน เหตุแห่งทุกข์คือ การยึดมั่นในขันธ์ ๕

ต้องปฏิบัติเท่านั้นจะเข้าใจคำว่า อเสขะ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
wannee.s
วันที่ 5 มิ.ย. 2551

พระเสกขบุคคล คือ ตั้งแต่พระโสดาจนถึงพระอนาคามี ชื่อว่าพระเสกข แปลว่า ผู้ศึกษา

พระอเสกข คือ พระอรหันต์ สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยงฯลฯ จะประจักษ์ได้ด้วยปัญญาตามลำดับขั้นตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 7 มิ.ย. 2564

อนุโมทนาค่ะ

 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ