กระผมมาจากที่ที่มืดมิด จะมาหาทางสว่าง

 
whatishuman
วันที่  25 ม.ค. 2551
หมายเลข  7122
อ่าน  1,213

ณ ปัจจุบัน กระผมไม่ทราบจริงๆ ว่าขณะนี้ เราคืออะไร เราอยู่ที่ไหนไม่มีใครบอกได้เลย ตั้งแต่ จำความได้ก็มีศาสนาที่จะพอแนะแนวทางการใช้ชีวิตให้เป็นคนดี แต่ ณ ปัจจุบันผมนั้น อาจจะอยู่ในช่วงที่มีกิเลสมาก ซึ่งเกิดจากปัญหาชีวิตต่างๆ ของมนุษย์ธรรมดา จึงเกิดความสับสนและอยากทราบ อะไรหลายๆ ที่หาคำตอบไม่ได้ กระผมมีหลายคำถามมาก ถ้าพอมีคนชี้ทางสว่าง ก็ขอให้ช่วยตอบด้วยครับ

๑. ศาสนา คืออะไร ๒. มนุษย์ คืออะไร ๓. ทำไมมนุษย์จึงต้องเกิด ๔. กรรม คืออะไร ๕. ทำไม เราต้องมีกรรม ๖. ถ้าเรามีกรรมแต่ชาติก่อน แล้วก่อนที่เราจะมีชาติแรกเรามีกรรมแล้วหรือยัง ๗. สวรรค์ โลก นรกมีจริง หรือไม่ ๘. ถ้าเกิดวันหนึ่งโลกไม่มี, แล้ สวรรค์กับนรกจะมีอยู่หรือไม่ ๙. ถ้าเกิดหลุดพ้นจากสังสารวัฏ แล้วจะไปอยู่ที่ไหน สวรรค์? หรือดับสูญไป
คำถามที่กระผมอยากทราบยังมีอีกมายมายแต่ขอถามเพียงเท่านี้ก่อนครับ ทำไมผมถึงถามแบบนี้ เพราะผมนับถือศาสนามาพุทธมาตั้งแต่เด็กแต่ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่เข้าใจถึงแก่นเท่าไร่ เนื่องจาก มุมของของกระผมเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อโตขึ้น ผมไม่สามารถที่จะออกบวชได้ เพราะกระผมยังทราบสาเหตุที่แท้จริงของมนุษย์ว่าเกิดมาเพื่ออะไรแต่ว่า ณ ปัจจุบัน กระผมคิดว่าตอนนี้หน้าที่ที่สำคัญคือต้องเรียนให้จบและทำงานเลี้ยงพ่อและแม่ ถ้าเกิดอยู่ดีๆ ผมบวชนั่นคือทางที่ถูกต้องแล้วหรือ?

ซึ่งมีหลายคนกล่าวว่าเราถูกสร้างขึ้นมาแล้วถูกกำหนดให้เป็นนั่นเป็นนี่ ทำสิ่งนั้น สิ่งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐาน เช่น ความหิว ความปลอดภัย ท้ายที่สุดเราก็อาจจะรบราฆ่าฟันกันเองเพื่อสิ่งเหล่านี้ ทรัพยากรเท่าเดิม แต่จำนวนคนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณจนล้นโลก พระท่านคงเข้าใจในข้อนี้จึงพยายามสอนให้ลด ละ เลิก เพื่อชะลอจำนวนคนลงจะได้เกิดใกล้เคียงกับตาย นอกจากนี้ยังสอนให้พัฒนาจิตใจเพื่อไปสู่ความดับสิ้น คนก็อย่าให้เกิดมากจะได้ไม่แก่งแย่งกัน ที่เกิดมาแล้วก็ให้อยู่ด้วยกันได้อย่างปกติสุข ที่ใกล้ตายก็อย่าได้เสียใจ ที่จริงก็คือ การสรรสร้างจากธรรมชาติให้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกาลเวลาไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต แต่ท่านนี้คงมองตามหลักวิทยาศาสตร์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 25 ม.ค. 2551

๑.ศาสนา คือคำสอนของท่านผู้ตรัสรู้ ๒.มนุษย์ คือสัตว์โลกประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะกรรม ๓.เพราะมนุษย์มีเหตุจึงต้องเกิด ถ้าดับเหตุคือ กิเลสได้หมดแล้วไม่ต้องเกิดอีก ๔.กรรม คือการกระทำ ได้แก่เจตนา ความตั้งใจ ที่เป็นอกุศลกรรมและอกุศลกรรม ๕.เพราะมีอวิชชาเราต้องมีกรรม ๖. เพราะมีกรรมจึงมีการเกิด (ปฏิสนธิ) ๗. สวรรค์ โลก นรกมีจริง เพราะเหตุให้เกิดในโลกนั้นๆ มี ๘.ตราบใดที่ยังมีเหตุให้เกิดในสวรรค์ หรือ นรก สวรรค์หรือนรกย่อมมี 9.ถ้าหลุดพ้นจากสังสารวัฏแล้วไม่ต้องเกิดอีกเลย เพราะไม่มีปัจจัยให้เกิดขึ้นอีก จึงไม่ปรากฏในโลกไหนๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 25 ม.ค. 2551

เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ ......

จะเริ่มต้นศึกษาธรรมะอย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 25 ม.ค. 2551

ก่อนอื่นก็ขออนุโมทนาในผลของกุศลของคุณ whatishuman ที่ได้เข้ามาสู่เว็บไซต์แห่งนี้ ซึ่งเป็นผู้ที่เริ่มสนใจในหลักคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธองค์ทรง สอนอะไรและสิ่งที่ทรงสอนมีความหมาย มีประโยชน์มากกว่าที่เคยได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่ในวัยเยาว์ วัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานอย่างไร ผู้เริ่มแสวงหาเหตุผลและความจริงของการมีชีวิตจำเป็นที่จะต้องพิจารณาคำตอบที่ได้ให้เข้าใจอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดย ละเอียดขึ้นตามกำลังของปัญญาที่ได้สั่งสมมา ซึ่งหากยังไม่เข้าใจตรงไหน ก็ขอให้ถามท่านวิทยากรจากทาง มศพ. และสหายธรรม ท่านผู้รู้ ท่านอื่นๆ ครับ เพราะว่าพระธรรมคำสอนที่ทรงแสดงไว้เมื่อ ๒,๖๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา ละเอียด ลึกซึ้งและมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจตาม ลำดับครับ

เรื่องของการบวชนั้น จำเป็นที่เราจะต้องถามตนเองก่อนครับ ว่าการบวช คืออะไร เมื่อรู้ความหมายแล้ว ก็ต้องถามต่อไปว่าจะบวชเพื่ออะไร คือเราต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อตนเองครับว่าทำไมถึงคิดว่าจะบวช จุดประสงค์ของการบวชในปัจจุบันต่างจากการบวชใน ครั้งในพุทธกาลอย่างมาก การบวชด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ถูกตั้งแต่ต้น ย่อมไม่อาจจะเป็นไปเพื่อการออกจากกาม ย่อมไม่ได้เป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุศลอย่างที่เพศฆราวาส นั้นทำไม่ได้ เพราะทำได้ยาก ฉะนั้น การศึกษาแก่นของพระธรรมให้เข้าใจก่อนจึงเป็นสิ่งดีที่ควรจะได้กระทำอย่างยิ่ง เหมือนกับการที่เราจะประกอบอาชีพใดๆ ได้ เราก็ต้องศึกษาให้เกิดความรู้ เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน การหาเลี้ยงชีพ เมื่อเรามีความรู้ เราก็จะเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้เกิดโทษและความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเพราะความไม่รู้ในภายหลังได้ครับ

จากข้อความ "หลายคนกล่าวว่า" แต่สิ่งที่ กล่าวจะถูกหรือผิด เรามีสิทธิที่จะเชื่อหรือไม่ก็ได้ และเราก็เป็นผู้ที่จะต้องพิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาเสมอครับ ซึ่งเมื่อพิจารณาก็ต้องพิจารณา อย่างสมเหตุสมผลที่สุด แต่ การที่ลำพังเราจะพิจารณาเอง บางทีความคิดของเราก็ไม่ได้ถูกโดยตลอด จึงจำเป็นที่ เราจะต้องหนักแน่นที่จะไม่เชื่อตามทันที

แต่จะเป็นผู้ที่ศึกษาข้อมูลจากหนังสือที่เชื่อถือได้ที่สุด และบริสุทธิ์ที่สุด คือพระไตรปิฎก เพราะเป็นการรวบรวมและกระทำสังคายนาพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเหล่าพระอรหันต์ผู้หมดจด จากกิเลสโดยสิ้นเชิงและเพราะเป็นพระไตรปิฎก ไม่ใช่หนังสือที่วางขายทั่วๆ ไป ก็จำเป็นที่จะต้องอ่านโดยไตร่ตรองอย่างแยบคายให้มากยิ่งขึ้นไปอีก จึงจะได้สาระจากที่แท้จริงจากพระธรรม ซึ่งพระธรรมก็จะให้คำตอบที่เราแสวงหาอย่างเกื้อกูลที่สุดครับ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะกล่าว ก็อย่าเพิ่งรีบเชื่ออะไรโดยง่าย จนกว่าจะพิจารณาใคร่ครวญตาม จนได้เหตุผลที่ถูกต้องก่อนเสมอครับ เพราะแม้แต่พระผู้มีพระภาคเอง พระองค์ก็ไม่ได้ทรงให้ใครมาเชื่อตามโดยขาดความเข้าใจ แต่ผู้ฟังนั้นเองจะต้อง พิจารณาไปจนกว่าจะเป็นปัญญาของตนครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
whatishuman
วันที่ 26 ม.ค. 2551

กระผมจะค่อยๆ ศึกษาธรรมะอย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 27 ม.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 27 ม.ค. 2551

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
สุภาพร
วันที่ 1 ก.พ. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ และเห็นด้วยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ