สติแตก

 
oom
วันที่  16 ม.ค. 2551
หมายเลข  7001
อ่าน  1,239

เนื่องจากที่ทำงานมีน้องอยู่คนหนึ่งที่มีความเจ็บป่วยทางจิต ต้องใช้ยาบำบัดตลอด ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่เหมือนเจ้าหน้าที่อื่นๆ ดิฉันก็จะมอบหมายงานที่เขาพอจะทำ ได้ให้ทำ คือการเดิน - ส่ง หนังสือ วันนี้มีงานที่ต้องเดินส่ง และมีงานที่ต้องเดินเพิ่มอีกงาน น้องก็บอกให้รอด้วย จะได้ไปส่งที่เดียว ไม่ต้องเดินหลายครั้ง แต่เขาไม่ยอมรอเดินไปเลย เมื่อกลับมาถึง ดิฉันก็ ถามว่าทำไมไม่รอ และน้องอีกคนก็พูดเหมือนกัน แก โกรธขึ้นเสียงดังว่าเขาไม่ใช่ขี้ข้า ที่ทุกคนจะมาใช้เขาน่ะ ดิฉันเลยสติแตก เพราะคนนี้ มีปัญหาทางจิตก็จริง แต่รู้มาก ไม่ค่อยช่วยงานคนอื่น ถ้าว่างก็เอาแต่นอน ดิฉันก็เลย ว่าทุกคนก็เป็นขี้ข้าหลวงเหมือนกัน ถ้าไม่อยากเป็นก็ไปนอนอยู่บ้านเสียไม่ต้องมาทำงาน จะได้ไม่มีคนใช้ ดิฉันเคยสงสารและเมตตาเขามาตลอด อยากทำอะไรก็ตามใจ ในเวลาทำงานอยากไปสวดมนต์ ไหว้พระ ดิฉันก็ไม่ว่า แต่วันนี้บอกจะไปไหว้พระใน เวลาทำงาน ดิฉันเลยไม่อนุญาต เพราะความโกรธ มันคงเป็นวิบากกรรมของดิฉัน ที่ต้องมาฝึกความอดทนกับพฤติกรรมของคน ที่มีปัญหาทาง จิตเวช ซึ่งบางครั้งก็ทำให้จิตเราขุ่นมัว เศร้าหมองหรือเกิดโทสะ ดิฉันคงไม่ถามว่าควรจะทำอย่างไรดี เพราะก็รู้ คำตอบอยู่ว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ตราบใดที่ เรายังไม่มีปัญญาพิจารณา ขาดสติ เขียนมาเพื่อเล่าสู่กันฟังเป็นประสบการณ์ หรือถ้าท่านใดจะ ช่วยชี้แนะก็ได้ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 16 ม.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

นั่นก็เป็นคำตอบอยู่แล้วครับ บางส่วนที่คุณตอบ ขอให้ข้อคิดแล้วกัน ทุกคนก็ยังมีกิเลส เมื่อยังมีความไม่รู้ก็ย่อมทำในสิ่งที่ไม่สมควรเป็นธรรมดา เงียบดีกว่าเพราะพูดไปก็มีแต่เรื่อง หากไม่มีผู้อื่นทำความเสียหายให้ ขันติของเราจะเจริญได้อย่างไร ผู้มีปัญญาเท่านั้นย่อมอดทนต่อความเสียหายที่ผู้อื่นนำไปให้ โทษใครไม่ได้ วิบากทางหู ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แม้เสียงที่กระทบ แม้อกุศลที่เกิดขึ้น

สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นก็ดับไปแล้ว ไม่มีใครทำผิดกับใครเพราะมีแต่สภาพธัมมะที่กล่าวมา เพื่อให้คำแนะนำให้เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้มีกุศลธรรมเพิ่มขึ้นและอดทน มากขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สั่งให้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ให้อดทน ให้เมตตา แต่สภาพธรรมที่ดีงามจะเกิดขึ้นก็ต้องอาศัยปัญญาที่เจริญและที่สำคัญ ลืมไม่ได้คือความเข้าใจถูกที่จะดับกิเลสได้จริงๆ คือเข้าใจว่าเป็นธรรม แม้สภาพ ธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นครับ

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
medulla
วันที่ 17 ม.ค. 2551

ขอช่วยโพสให้กำลังใจด้วยความเข้าใจในความรู้สึกของ คุณoom ก็แล้วกันค่ะ เริ่มจาก อยากให้รู้ว่ายังมีดิฉันอีกคนที่เข้าใจนะ เพราะก็เคยเจอลักษณะนี้มาเช่นกัน สำนวนทางโลกท่านเรียกว่า กลืนไม่เข้า คายไม่ออก เจอมาตั้งแต่เด็กๆ จนโต เป็นเรื่องรุนแรงในครอบครัว คนไม่เคยเจออาจจะไม่เข้าใจ จะพูดอย่างไรก็ได้ คนบางคนอาจจะบอกว่า เราเก็บกด ถ้ามองตามสภาพธรรมแล้วก็เป็นการสะสมอารมณ์แย่ๆ มายาวนาน ดิฉัน รู้สึกวาสนาน้อยที่เด็กๆ ไม่เคยได้ฟังพระธรรม ส่วนใหญ่จะไปร้องเพลงที่โบสถ์มากกว่า เพราะเรียนโรงเรียนคาทอลิค แถมรอบๆ บ้านก็เป็นทุ่งนา ทำให้ความรุนแรงมากขึ้น เรื่อยๆ เพราะไม่มีเพื่อนบ้านให้เกรงใจ บางทีตื่นมาก็เห็นข้าวของเป็นขี้เถ้า ด้วยความเป็นเรา จึงยังนึกเสียดายและโกรธอยู่เรื่อยๆ เคยคิดน้อยใจจะทำอะไรที่แย่ๆ กับตนเองมาก็บ่อย แต่คงมีวาสนาอยู่บ้างจึงได้เจอกัลยาณมิตรท่านหนึ่งโดยไม่ได้คาดคิดมา ก่อนเพราะอยู่คนละฟากประเทศได้พามาที่มูลนิธิฯ แล้วก็รับหนังสือรับซีดีไปศึกษา แม้ความเข้าใจขั้นเรียนรู้เกิดขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็เหมือนจะเปลี่ยนโลกทางความคิดไปเลย อย่างน้อยมีชีวิตอยู่ก็เพื่อศึกษาพระธรรม เมื่อสักครู่ก็มีวิบากทางตา ได้อ่านอะไรที่กระทบใจ แต่ก็เป็นอนัตตาก็ศึกษาสภาพธรรมตรงนั้น เป็นเพียงการเห็นและความไม่พอใจ เพราะความเป็นเราและเขา ควบคุมอะไรไม่ได้เลย จึงไม่ควรใส่ใจ ใส่ใจเพียง พระธรรม จากที่จะนั่งโกรธต่อ ก็ไม่โกรธดีกว่า เปิดไฟล์ ธรรมฟังต่อไป รับฟังคุณoom เสมอค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
kirin_kal
วันที่ 17 ม.ค. 2551

ดิฉันเข้าใจคุณคะ เพราะดิฉันก็มีประวัติคนในครอบครัวมีความผิดปกติเช่นนี้เหมือนกัน จึงอยาก ให้คุณเห็นใจพวกเค้าเหล่านั้น เพราะโรคนี้เป็นแล้วไม่สามารถบังคับตัวเองได้เลย ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง จึงไม่สามารถระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ซึ่งน่าสงสารมากๆ และตัวดิฉันเองโอกาสที่จะเป็นก็สูงเพราะหมอบอกว่าเป็นพันธุกรรม ดิฉันจึงกลัวที่จะเป็นมาก ดังนั้นเมื่อคุณเป็นคนที่ปกติแล้วจึงโชคดีมาก แต่ คนที่เป็นโรคทางจิตน่าสงสาร จึงควรเมตตาเค้ามากกว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
oom
วันที่ 17 ม.ค. 2551

ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ข้อคิดและให้ความรู้ดีๆ สำหรับดิฉัน ดิฉันฟังธรรมอจ.สุ จินต์ เป็นประจำทุกวัน ทำให้เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ตามความเป็นจริง คือย่อมผันแปรไปตาม เหตุปัจจัย ถ้าเรามีสติระลึกรู้ เราก็จะไม่ทุกข์ ความเข้าใจในการฟังธรรมกับการที่เจอของจริง มันต่างกันมากเลย บางครั้งก็รับไม่ทัน ตอนขณะทีกำลังฟังธรรม คิดว่าว่าถ้าเราเจอของจริง เราต้องทำได้ ต้องมีสติ แต่เปล่าเลย มีบ้าง ไม่มีบ้าง สลับ กันไป แต่ก็ยังดีกว่าตอนก่อนๆ มาก ที่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ จะโกรธน้องไปหลายวัน แต่ตอนนี้โกรธแค่แปล๊บเดียว แล้วก็ได้สติว่าไม่น่าไปโกรธน้องเลย เพราะทุกคนก็ยังมีกิเลส รักความสบาย รักตัวเอง ยังมีตัวตนอยู่

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 17 ม.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
lichinda
วันที่ 17 ม.ค. 2551

อย่าถือว่าเป็นการชี้แนะเลยครับ ผมว่าความโกรธก็เกิดกับเราจริงๆ เราก็รู้ว่าเราโกรธ จะนึกว่า เป็นเพียงสภาพธรรม ก็เป็นตัวเรานี่แหละนึกเอาเอง แต่ไม่ประจักษ์สภาพสภาพธรรมตามความเป็นจริงของความโกรธ ที่ไม่ใช่เราสักครั้งเลย จึงต้องโกรธอยู่เรื่อย แต่ผมว่ามีผู้เจริญสติปัฎฐานที่ระลึกได้ทันว่าเป็นเพียงสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่ใช่ ตัวเราโกรธ แต่เหตุเพราะว่ายังมีความเป็นตัวเราโกรธ เราจึงสะสมกรรมไว้ และ จะต้องโกรธ บ่อยๆ โกรธได้แม้แต่คนที่รัก ทั้งๆ ที่เขาไม่ตั้งใจ คำพูดของเรานี้แหละ น้ำเสียงของเรานี้แหละ ห้วนนัก สั้นนัก ใจก็ขุนมัว หน้าก็ไม่ยิ้ม วรรณะไม่ผ่องใส เขางอนบ้าง โกรธบ้าง เราก็เอาใหญ่ โกรธหนักกว่าเขาอีก วิบากนั้นแหละเราทำมาเองแท้ๆ ไม่ชอบอย่างไหน อย่างนั้นแหละเราทำมาก่อน (เราในที่นี้ หมายถึงตัวผมเองนะครับ) ขอสนทนาธรรมด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 17 ม.ค. 2551

ถ้าเชื่อกรรมและผลของกรรม ก็จะทำให้เราไม่ทำอกุศลกรรมบถ และมั่นคงในการเจริญ กุศลยิ่งขึ้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornpaon
วันที่ 17 ม.ค. 2551

เข้าใจค่ะ ที่ทำงานก็มีแบบนี้คนหนึ่ง มีอาการและต้องคุมไว้ด้วยยา พี่ๆ เล่าให้ฟังว่า แกเคยวิ่งออกไปที่ถนนแบบจรวดหลุดจากแท่น แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ใครๆ ก็ตามไม่ทัน เดชะบุญว่า ไม่มีรถมากในวันนั้นจึงไม่มีใครเป็นอะไร แกทำงานอะไรไม่ได้มาก แต่รู้มาก โวยวายเก่ง ก็เลยอยู่กันแบบยอมๆ กันไป แบบอยู่กันมานานก็รู้ๆ อาการกันอยู่ สรุปได้ ว่าแกเป็นผู้มีหน้าที่ทดสอบความอดทน และความเมตตาของทุกคนในที่ทำงานค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอบพระคุณและขออนุโมทนากับคำแนะนำของทุกท่านค่ะ เป็นประโยชน์กับดิฉันด้วยจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
oom
วันที่ 18 ม.ค. 2551

เวลาที่เรามีสติ เวลาน้องทำอะไรให้โกรธ เราก็ไม่โกรธ กลับนึกว่าเขาเป็นบทเรียน เป็นอาจารย์ให้เราได้ฝึกขันติ ได้ฝึกรักษาใจของตนเองให้เป็นปกติ ไม่ขุ่นมัว เศร้าหมอง ซึ่งเวลาที่ เราทำได้ ดิฉันจะรู้สึกว่าสภาพจิตของเราเบิกบาน สงบเย็น เบาสบาย เหมือนมีแต่ความว่างเปล่า ได้เห็นจิตในจิต ว่ามีอาการอย่างไร ความสุขสงบใด ไม่เทียบเท่ากับความสุขสงบจากกิเลสทั้งปวง ดิฉันคิดว่า สติเป็นเหมือนเครื่องคุ้มครอง ป้องกันภัยให้เราได้ทุกอย่าง ถ้าเรามีสติ เราจะอยู่ในชีวิตประจำวันได้ในทุ สถานการณ์ โดยที่เราไม่ต้องทุกข์กับเรื่องของตัวเราหรือเรื่องของคนอื่นที่มาทำให้เราทุกข์ ดิฉันก็คงต้องสะสม อบรมปัญญาของตัวเองไปทุกภพทุกชาติ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนาน แค่ไหน กี่อสงไขย แสนกัปป์ ถึงจะหลุดพ้นได้

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Komsan
วันที่ 18 ม.ค. 2551
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
yuphin
วันที่ 20 ม.ค. 2551

ดิฉันขออนุญาตแสดงความคิด เพื่อคุณจะได้อนุเคราะห์ผู้นั้น เนื่องจากผู้ป่วยจิตเวช ส่วนมากมีปัญหาอาการหูแว่วร่วมด้วย หูแว่ว หมายถึง เขาจะได้เสียงอยู่ตลอดเวลา ถ้าอาการหนักเขาจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้และมักจะทำอะไร โดยไม่คาดคิด ถ้าคุณจะเมตตาคุณลองสอบถาม อาการจากวันแรกที่เกิดอาการจนปัจุบันนั้นดีขึ้นหรือไม่ ยาที่ได้รับต้องมีคุณภาพดีพอสมควร ต้องต่อเนื่อง ข้อสำคัญต้องพบแพทย์ตามนัดเสมอข้อเสนอแนะอีกข้อหนึ่ง คุณลองเปิดวิทยุ คลื่นธรรมะหรือเทปที่ฟังง่ายๆ ให้เขา ดิฉันคิดว่าผู้ป่วยกลุ่มนี้เหตุปัจจัยน่าจะเกิดจากความเครียด แล้วไม่มีทางออกที่ถูกต้อง แต่ทุกอย่างจากเหตุและปัจจัย กรรมวิบากของเขา คุณสามารถอนุเคราะห์เขาได้ตามกำลัง ขอเป็นกำลังใจให้คุณและเขาผ่านพ้นในวิบากครั้งนี้ด้วย

ขอนุโมทนาบุญค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
แช่มชื่น
วันที่ 20 ม.ค. 2551

อายุมนุษย์แสนสั้น มีโอกาสเกื้อกูลกันเป็นสิ่งที่ควรครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 10 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ