ความเหมือน... ที่แตกต่าง

 
khampan.a
วันที่  2 ม.ค. 2551
หมายเลข  6830
อ่าน  879

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยายในรายการ "แนวทางเจริญวิปัสสนา" เนื้อหาตอนหนึ่ง เป็นสิ่งที่น่าคิดพิจารณาทีเดียว ใจความมีว่า .-

"แม้พระผู้มีพระภาค เมื่อพระองค์ทรงตื่นบรรทม พระองค์ก็ทรงทอดพระเนตร เห็นสิ่งต่างๆ ได้ยินเสียงต่างๆ เหมือนกับบุคคลอื่น แต่ว่าทรงพระมหากรุณาคุณที่ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การเห็นของพระองค์ กับ การเห็นของบุคคลที่ยังมีกิเลส จะต้องต่างกันมาก การเห็นของพระองค์ประกอบด้วยพระมหากรุณา พิจารณาอุปนิสัยของแต่ละบุคคล เพื่อที่จะเกื้อกูลด้วยพระะธรรม

แต่สำหรับบุคคลที่ยังมีกิเลส ลองพิจารณาการเห็น ขณะที่ตื่นมา (เช่น) อ่านหนังสือพิมพ์ รัก ชัง สนุกสนาน เพลิดเพลิน มากน้อยแค่ไหนถึงแม้ว่าจะไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ เพียงตื่นมาแล้วเห็นดอกไม้ในบ้าน หรือว่า เห็นสัตว์เลี้ยง จิตใจในขณะนั้น เป็นอะไร นี่เป็นความแตกต่างกัน แม้ของผู้มีจักขุปสาทะ (ตา) เหตุที่ทำให้เกิดการเห็น มี จักขุวิญญาณ (จิตเห็น) ก็เห็นเป็นสิ่งเดียวกัน แต่หลังจาก นั้นแล้ว อุปนิสัยที่สั่งสมมาต่างกัน ทำให้แต่ละบุคคลสามารถที่จะระลึกได้ถึงกิเลส ของตนเอง ใครมีกิเลสมากเท่าไร คนอื่นไม่รู้ แต่บุคคลนั้นรู้ โดยที่ค่อยๆ ขัดเกลากิเลส เพราะเห็นโทษของกิเลส แล้วกิเลสทั้งหลายก็จะค่อยๆ คลายลง ปัญญาก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น บุคคลนั้นรู้ได้นี่เป็นเหตุที่ แม้บุคคลจะมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ และอยู่ร่วมโลกเหมือนกัน แต่การสะสมมาก็ต่างกัน ตามขั้นของปัญญา"


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 2 ม.ค. 2551

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
orawan.c
วันที่ 2 ม.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 2 ม.ค. 2551

แม้ในครั้งพุทธกาล เวลาที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ บางคนบรรลุเป็นพระโสดาบัน บางคนบรรลุเป็นพระอรหันต์ และบางคนไม่บรรลุแต่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นี่คือความแตกต่างของปัญญาและการสะสมมาต่างกันค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ทศพล.com
วันที่ 2 ม.ค. 2551

ขออนุโมทนา

ผมต้องขอยอมรับจริงๆ ว่า การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก อาจจะได้ยินเหมือนกัน อาจจะเห็นเหมือนกัน แต่ว่ากิเลส ของผมก็อาจจะเกิดเยอะกว่าคนอื่นก็ได้ แต่ผมได้ศึกษาธรรมมะ บางครั้งพอจะทราบได้ว่า มันเป็นอนัตตา ผมพยายามศึกษาธรรมมะที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ บรรยาย ทำให้ผมพอที่จะเข้าใจตัวเองบ้าง ค่อยๆ สะสมปัญญา ทีละเล็กทีละน้อย พยายามทำสิ่งที่ดีๆ เท่าที่สามารถกระทำได้ ชีวิตนี้เกิดมา ไม่มีอะไรจะดีเท่า ปัญญา และ ความดี

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 2 ม.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แช่มชื่น
วันที่ 2 ม.ค. 2551

ในสมัยพุทธกาล พราหมณ์ผู้หนึ่งบูชาไฟอยู่ เห็นพระพุทธเจ้าทรงเดินบิณฑบาตรมาแต่ไกล ก็ด่าบริภาษพระพุทธองค์ด้วยถ้อยคำหยาบคายว่าพระพุทธองค์เป็นคนถ่อย ภายหลังที่เขาได้ฟังพระธรรม ก็ได้ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะครับ แต่บางคนแม้จะได้เห็นและได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า ก็ไม่แม้แต่จะมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะครับ อย่างพวกอัญญเดียรถีร์ ก็ไปยืนฟังพระธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างเผินๆ เพียงเพื่อจะจำคำสอนของพระพุทธองค์นิดๆ หน่อยๆ แล้วเอามาพูดกับพวกที่สักการะบูชาตน หรือเอามาพูดให้พระภิกษุเห็นด้วยกับวาทะของตน แต่หาได้รู้อรรถอันลึกซึ้งจากพระพุทธพจน์นั้น เพราะต่างกันที่ปัญญาครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornpaon
วันที่ 3 ม.ค. 2551

แตกต่างกันจริงๆ ค่ะ เพราะผู้ที่มีหูได้ยินเสียงและฟังธรรมอยู่ แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญาย่อมไม่เห็นคุณของพระธรรม และละเลยพระไตรรัตน์ไป เปรียบดั่งคนไม่มีหู เพราะหูนั้นได้มีไว้เพื่อฟังเสียงที่เป็นอกุศลเสียแล้ว

ขออนุโมทนากับทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 ม.ค. 2551

การได้อัตภาพเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก แต่การดำเนินชีวิตและจุดหมายของชีวิตของแต่ละคนนั้น แตกต่าง

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 14 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ