รู้สึกสับสนในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

 
บ้านธัมมะ
วันที่  21 ธ.ค. 2550
หมายเลข  6461
อ่าน  1,425

มีคำถามจากท่านผู้ชมท่านหนึ่ง ส่งมาทาง E-mail ดังนี้ เมื่อศึกษาปรมัตถธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยับยั้งความทะเยอทะยานในกิจการงานทางโลก ซึ่งจำเป็นต้องประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงตน และครอบครัว ซึ่งบางครั้งในระบบงาน หรือองค์กรจะมีการส่งเสริมให้คิดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่โลกยอมรับ เช่น รายได้มากๆ เกื้อกูลให้เกิดสิ่งที่คนทะยานอยาก ได้แก่ บ้าน รถ การพักผ่อน ท่องเที่ยวต่างประเทศ รางวัล เงินเก็บ ฯลฯ แต่ขณะเดียวกัน ต้องฝืนความรู้สึก ขัดแย้งกับการเรียนศึกษาธรรมะซึ่งให้ละ แต่บางโอกาสหากไม่คิดทะยานอยากทางโลก ก็จะไม่สามารถนำครอบครัวประสบกับสิ่งที่ปรารถนา หรือเป็นอยู่อย่างเป็นสุขสบาย กระผมควรคิดอย่างไร รู้สึกสับสนในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

ในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัทที่เป็นสาวกผู้เลื่อมใสและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมของพระผู้มีพระภาค ฯ นั้น มีตั้งแต่ พระเจ้าแผ่นดิน เสนาบดี มหาอำมาตย์ แพทย์ พ่อค้า ทุกอาชีพ แม้แต่ทาส กรรมกร ที่ได้ฟังพระธรรม และพิจารณาเห็นประโยชน์ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม ไม่ใช่คนเกียจคร้าน เพราะเมื่อมีกิจหน้าที่อย่างใด ก็ทำกิจหน้าที่นั้นๆ ได้สมบูรณ์ขึ้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงนั้น มีทั้งขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด ทรงแสดง ทั้งหน้าที่มารดาบิดาต่อบุตร และหน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกันโดยสถานใดสถานหนึ่ง ในขณะที่ประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่นั้น ก็เจริญธรรมได้ เจริญสติปัฏฐานได้ เป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกได้ สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ไม่ใช่ว่าเจริญธรรมแล้ว ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ปลีกตัวไปไม่ทำอะไรกันหมด ถึงแม้ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเสนาบดี ไม่ว่าจะมีอาชีพใดๆ ก็เป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธสาวก ที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วย ฟังพระธรรมและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยได้

การละกิเลสนั้นต้องละเป็นขั้นๆ ในขั้นแรกพระพุทธศาสนา ไม่ได้สอนให้ละโทสะหมด ละโลภะหมด ละกิเลสหมด เป็นพระอรหันต์ทันที ผู้ที่จะเป็นพระโสดาบันได้นั้น จะต้องสะสมอบรมปัญญา รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ไม่เห็นผิด และไม่ยึดถือสภาพธรรมใดๆ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน การที่ปัญญาจะเจริญจนรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นี้ ต้องศึกษาและอบรมเป็นเวลานานแสนนานทีเดียว เพราะเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่แท้จริง ซึ่งต่างจากที่เคยเข้าใจว่า รู้แล้ว

โลกทั้งโลกที่ปรากฏนี้ แยกได้โดยหลายลักษณะ ถ้าแยกโดยลักษณะของจักรวาลก็เป็นเรื่องของดาราศาสตร์ แต่เมื่อแยกโดยลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็แยกเป็น ๖ โลก คือ โลกทางตา โลกทางหู โลกทางจมูก โลกทางลิ้น โลกทางกาย โลกทางใจ สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดดับ ปรากฏสืบต่อกันอย่างรวดเร็วมาก จึงปรากฏเป็นโลกที่มีทั้ง แสงสี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ พร้อมๆ กัน ความจริงแล้ว สภาพธรรมที่เป็นโลกแต่ละโลกนั้นจะปรากฏได้ทีละทางตามเหตุตามปัจจัย แต่เมื่อเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว จึงลวงให้เห็นเป็นคน สัตว์ได้ เหมือนนักเล่นกลที่ชำนาญมาก สามารถทำมายากลให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆ ได้ แต่สำหรับผู้ที่รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ไม่หลงผิดเห็นผิดในสภาพธรรม เมื่อเป็นพระอริยบุคคลแล้ว ก็ยังดำเนินชีวิต ปฏิบัติหน้าที่ของตน ต่อไปตามที่ได้สะสมมา ตามควรแก่การบรรลุคุณธรรม เป็นพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Komsan
วันที่ 22 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 31 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 2 พ.ค. 2565

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ