รูปนาม กับ นามรูป
ช่วงนี้มีข้อถกเถียงกันเรื่องคำว่ารูปนาม กับ นามรูป ซึ่งกล่าวว่าไม่สามารถกลับคำกันได้เพราะจะทำให้มีความหมายต่างกัน จึงอยากขอความชัดเจนจากผู้รู้ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่ความเข้าใจว่าคืออะไร จะกล่าวว่า นาม รูป หรือ จะกล่าว่า รูป นาม หรือ นามธรรม รูปธรรม / รูปธรรม นามธรรม คำพูดย่อมไม่ผิด แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องในธรรม ๒ อย่าง
รูปธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริงที่ไม่รู้อะไร ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ เป็นสภาพที่มีอันต้องแตกสลายไป รูปธรรมเป็นสภาพธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ รูปมีหลายรูป เป็นแต่ละหนึ่งๆ ไม่ปะปนกัน ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรมได้เลย
ข้อความในพระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ รูปกัณฑ์ แสดงความเป็นจริงของรูปธรรม ดังนี้ “รูปธรรม เป็นอัพยากตธรรม (ไม่ใช่ทั้งกุศล ไม่ใช่ทั้งอกุศล) ไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่เจตสิก วิปปยุตจากจิต (ปราศจากจิต, ไม่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ”
ข้อความในปรมัตถโชติกา อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ สามเณรปัญหา แสดงความเป็นจริงของรูปหรือรูปธรรม ไว้ว่าเป็นสภาพที่แตกสลาย ดังนี้ “ มหาภูตรูป ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) และ รูปทั้งหมด ที่อาศัยมหาภูตรูปนั้นเป็นไป ท่านเรียกว่า รูป เพราะอรรถว่า แตกสลาย”
ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ก็เป็นธรรม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ถ้าเป็นกาลที่ว่างจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก สัตว์โลกก็จะไม่สามารถเข้าใจความเป็นจริงของธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงได้ เพราะไม่มีผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริง แต่เมื่อเป็นกาลที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้นก็จะมีการทรงแสดงพระธรรมอนุเคราะห์เกื้อกูลให้สัตว์โลกได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง จากความไม่รู้ ก็ค่อยๆ รู้ขึ้นไปตามลำดับ ด้วยความเข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำเป็นคำอนุเคราะห์เกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรม ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจไปทีละคำแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกได้เลย เพราะถ้าไม่ตั้งต้นที่ว่า คำนั้น คืออะไร พูดไปทั้งวันก็ไม่รู้อะไร เพราะเต็มไปด้วยความไม่รู้ พูดในคำที่ไม่รู้จัก
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา ไม่ประมาทในแต่ละคำที่ได้ยินได้ฟัง เมื่อค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น และ ธรรม นั้น ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เพราะมีจริงทุกขณะ รวมถึงสภาพธรรมที่เป็นรูป หรือ รูปธรรม ด้วย ซึ่งบางคนอาจจะเคยเข้าใจผิดว่า รูป จะเป็นธรรมได้อย่างไร แต่เมื่อได้เริ่มฟัง เริ่มศึกษา ก็จะทำให้เข้าใจถูกเห็นถูก คลายความสงสัย คลายความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย
รูป หรือ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร ไม่รู้อารมณ์ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ รูปธรรม มีทั้งหมด ๒๘ รูป เช่น สี เสียง กลิ่น รส เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น
เมื่อเป็นรูปแต่ละรูปแล้ว ก็ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ประโยชน์ของการศึกษาเรื่องรูปธรรม ก็คือ เข้าใจถูกตรงตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ครับ
นามธรรม หมายถึง สภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ ได้แก่ สภาพธรรมที่เป็นจิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ซึ่งเกิดเมื่อใด ก็ต้องรู้อารมณ์ตามควรแก่จิตประเภทนั้นๆ เช่น เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น จิตเห็นและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ก็ต้องรู้อารมณ์ คือ รู้สี ข้อความใน อัฏฐสาลินี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณีปกรณ์ แสดงความเป็นจริงของนามธรรม ดังนี้
“ขันธ์ ๔ (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ชื่อว่า นาม (นามธรรม) , จริงอยู่ ขันธ์ ๔ เหล่านั้น น้อมไปมุ่งเฉพาะต่ออารมณ์, นามธรรม แม้ทั้งหมด ชื่อว่า นาม ด้วยอรรถว่า น้อมไป เพราะขันธ์ ๔ ย่อมยังกันและกันให้น้อมไปในอารมณ์”
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ละคำล้วนอนุเคราะห์เกื้อกูลให้เข้าใจธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด และสิ่งที่มีจริงที่ไม่เคยขาดเลย คือ สภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งเป็นนามธรรม ๒ อย่าง คือ จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ อารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ เจตสิกก็เกิดประกอบพร้อมกับจิต ตามควรแก่จิตขณะนั้นๆ
ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ นั้น มี ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ สภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม นามธรรม ยังแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ หรือ เป็นธรรมที่รู้อารมณ์ ได้แก่จิตและเจตสิก และนามธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ แต่ก็มีจริงๆ คือ นิพพาน ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ ส่วนรูปธรรม นั้น เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ ตัวอย่างของรูปธรรม เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น
นามธรรม ที่เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เช่น เห็น กำลังกระทำกิจเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา สภาพธรรมที่กำลังกระทำกิจเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรก็ได้ เพราะเป็นลักษณะของปรมัตถธรรมที่เกิดขึ้นกระทำกิจเห็น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า แม้ไม่ต้องใช้คำว่า “นามธรรม” แต่ก็หมายความถึงสภาพธรรมที่กำลังเห็น คือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำว่า “นามธรรม” ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจอรรถ คือลักษณะของสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ เพราะความหมายของคำว่า “นาม หรือ นามธรรม” ก็คือสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เช่น ในขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตากำลังปรากฏ กำลังถูกรู้ เพราะฉะนั้น ก็มีสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ คือน้อมไปสู่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ดังนั้น สภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ที่ปรากฏทางตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติคำ เพื่อที่จะให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมนั้น โดยใช้คำว่า “นาม” หรือ “นามธรรม” หมายถึงสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์นั่นเอง
ถ้าในขณะที่กำลังได้ยินเสียง นามธรรมกำลังน้อมไปสู่เสียงที่กำลังปรากฏ เสียงไม่ใช่ได้ยิน เสียงเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏกับสภาพธรรมที่น้อมไปสู่ลักษณะของเสียง คือ รู้เสียงที่กำลังปรากฏ แต่ถ้าใครติดชื่อ ต้องนึก ต้องท่อง ต้องกล่าวว่า ได้ยินเป็นนาม หรือ ได้ยินเป็นนามธรรม ในขณะนั้นไม่ใช่การพิจารณาที่จะน้อมไปสู่ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตนได้เลย
ขณะที่กายส่วนหนึ่งส่วนใดมีสภาพธรรมปรากฏลักษณะที่เป็นเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ขณะนั้นมีสภาพธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ คือ กำลังรู้ลักษณะที่เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว ในขณะนั้นเป็นสภาพธรรมซึ่งแม้จะไม่ใช้คำว่า นาม หรือ นามธรรม สภาพธรรมนั้นก็มีจริง และไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนด้วย เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน
ขณะที่กำลังเห็นทางตา ไม่มีชื่อปรากฏในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่เวลาที่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วเกิดการนึกคิด ก็จะมีชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชื่อวัตถุสิ่งของสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายให้ในชีวิต ประจำวัน ตลอดจนถึงเป็นชื่อของสัตว์ ของบุคคลต่างๆ ชื่อเป็นแต่เพียงสิ่งสมมติ แล้วก็จะเป็นอารมณ์ คือ เป็นสิ่งที่จิตเกิดคิดนึกขึ้นเท่านั้นเอง
ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เป็นสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งมีจริง เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่ชื่อ แต่ชื่อต่างๆ นี้ จะมีเฉพาะในขณะที่จิตเกิดคิดนึกเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ เพราะฉะนั้น ถ้าอบรมเจริญปัญญาจริงๆ ก็จะรู้ว่า ชื่อต่างๆ ที่เป็นชื่อของบุคคลต่างๆ สัตว์ต่างๆ สิ่งของต่างๆ นั้น ชั่วขณะที่จิตกำลังคิดนึกเท่านั้น ชื่อ เป็นแต่เพียงสิ่งที่จิตคิดนึกถึง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย การอบรมเจริญปัญญาจะทำให้รู้ชัดตามความเป็นจริงในลักษณะของปรมัตถธรรม และไม่เข้าใจผิดในสมมติบัญญัติหรือชื่อต่างๆ ว่าเป็นสิ่งที่มีจริงๆ จึงสำคัญที่มีการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นเครื่องป้องกันให้พ้นจากความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของธรรมโดยประการทั้งปวง
เพราะฉะนั้น หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงของปรมัตถธรรม เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด แม้สภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ก็ไม่ใช่เรา ซึ่งจะขาดการฟังเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ในขณะนี้ไม่ได้เลย ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ Saifa และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ ...



