วิธีของอาจารย์สุจินต์ผมเลื่อมใส

 
ธรรมทัศนะ
วันที่  24 ต.ค. 2568
หมายเลข  51265
อ่าน  614

อย่างที่อาจารย์ว่า กิเลสเกิดทุกวัน ถ้าหากบุญไม่มา บาปก็เข้า ผมฟังอาจารย์สุจินต์มา ๒ ปีกว่าๆ ไม่เคยได้ฟังมาก่อน แต่ว่าเมื่อฟังแล้วเห็นว่าละเอียดกว่าคนอื่น คนอื่นบางทีให้พิจารณานามรูป ให้พิจารณากันอย่างไร ก็ไม่รู้ วิธีของอาจารย์สุจินต์ผมเลื่อมใส เพราะทำที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ นั่งในรถก็ได้ อยู่บ้านก็ได้ และที่ว่าไม่มีทางลัด ก็เป็นความจริง คำสอนของพระพุทธเจ้า คัมภีโร ลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่ามีวิธีที่ง่ายๆ ไม่ใช่ของง่าย เราต้องเพียรพยายาม อย่างที่พระพุทธจ้าท่านตรัสว่า สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย การสั่งสมบุญเป็นสุข สั่งสมทีละน้อย เหมือนหยาดน้ำฝนที่ตกลงมาทีละหยาดๆ เดี๋ยวก็เต็มเอง


รับฟัง ...

ค่ายหนึ่งต้องเข้าห้องปฏิบัติวิปัสสนา

ขอโทษท่านผู้ฟังทุกๆ ท่าน ที่ผมจะพูดนี้อาจไม่ตรงกับที่อาจารย์ อธิบาย แต่ว่าในฐานะที่เราเป็นนักศึกษา หรือว่าเป็นนักปฏิบัติ ก็ต้องการความตรง ความถูกต้อง จะเป็นอาจารย์หรือใครก็ตาม ถ้าสอนเราผิด เราผิดไปด้วย ใครจะรับประกันเรื่องตกนรกให้แก่เรา ก็ตัวของเราเอง เราเป็นคนเลือก

เวลานี้จะว่ามี ๒ ค่ายก็ได้ คือ ค่ายหนึ่งต้องเข้าห้องปฏิบัติวิปัสสนา อีกค่ายหนึ่งอยู่ที่ไหนก็ทำได้ ในมหาสติปัฏฐานสูตร ผมไม่ใช่อวดความรู้ แต่จะแยกให้ท่านฟัง โปรดพิจารณาดู

เช่น คำว่า กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ

กาเย แปลว่า ในกาย

กายานุปัสสี แยกเป็น กายะ + อนุ + ปัสสี แปลได้เป็น ๒ นัย แปลว่า เห็นเนืองๆ หรือว่า เห็นตาม

คำว่าเห็นเนืองๆ นั้น ลองพิจารณาดู การพิจารณากายในกายนั้น ท่านว่า เห็นเนืองๆ และโดยปกติ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราในฐานะที่จะปฏิบัติเพื่อตัวของเรา ใครจะช่วยใครไม่ได้ทั้งนั้น เราต้องเห็นเองจึงจะเป็น อุชุปะฏิปันโน ปฏิบัติตรงต่อคำสอน เราต้องมาพิจารณาของเราเอง

ทีนี้กล่าวถึงเข้าห้องปฏิบัติ อย่างสุโขทัย เราไปดูสถานที่ของวัด ไม่มีหรอกห้องปฏิบัติวิปัสสนา มีแต่กุฏิหลังใหญ่ๆ มีโบสถ์ มีวิหาร มาถึงอยุธยา ผมก็อยู่อยุธยามาตั้งแต่เด็กๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีห้องปฏิบัติอะไร ครั้นมาถึงรัตนโกสินทร์ มีอย่างวัดอนงค์ที่ผมบวชอยู่ เป็นห้องเล็กๆ เรียกว่ากุฏิวิปัสสนา พวกเรียนวิปัสสนาอยู่ห้องเล็กๆ แสดงว่าอยู่คนเดียว แต่ผมเห็นว่า เมื่อพิจารณาดูกาเย กายานุปัสสนาสติปัฏฐานแล้ว ท่านว่าให้พิจารณาเนืองๆ ตามปกติ เข้าในหลักกรรม ๔ อย่าง กัมมสัทธา วิปากสัทธา กัมมัสสกตาสัทธา ตถาคตโพธิสัทธา เราต้องยึดหลักนี้

การเข้าห้องปฏิบัติ ใครจะเข้าห้องปฏิบัติต้องยื่นใบสมัคร ห้องไม่ว่างก็คอยไป และปฏิบัติไม่เกิน ๑ เดือนต้องออก คนอื่นจะได้มา ในปี ๑ เราอาจจะได้ทำแค่เดือนเดียว อีก ๑๑ เดือนทำอย่างไร

อย่างที่อาจารย์ว่า กิเลสเกิดทุกวัน จริงครับ ถ้าหากบุญไม่มา บาปก็เข้า ที่จะเฉยๆ ก็ยากนักหนา บางทีเรานั่งเฉยๆ คิดร้อยแปดพันประการ เพราะฉะนั้น การเจริญวิปัสสนา ผมฟังอาจารย์สุจินต์มา ๒ ปีกว่าๆ ไม่เคยได้ฟังมาก่อน แต่ว่าเมื่อฟังแล้วเห็นว่าละเอียดกว่าคนอื่น คนอื่นบางทีให้พิจารณานามรูป ให้พิจารณากันอย่างไร ก็ไม่รู้

อย่างใน ภัทเทกรัตตสูตร ว่าอย่างนี้ ปัจจุปปันนัง ฯลฯ ท่านให้พิจารณานามรูปในปัจจุบันเฉพาะหน้า ปัสสติ ต้องพิจารณาอย่างปกติ ปกติหมายความว่า ถ้าเราไปเข้าห้องกัมมัฏฐานแล้ว ปกติหรือเปล่า เราอยู่บ้านเป็นปกติหรือเปล่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะที่ผมเป็นคนมีครอบครัว มีลูกมีเมีย ไปเข้าเป็นเดือนๆ ทางบ้านใครจะดูแลลูก ใครจะดูแลเมีย เราทิ้งลูกเมียเป็นเดือนๆ เขาจะว้าเหว่แค่ไหน เราเองก็ว้าเหว่เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น วิธีของอาจารย์สุจินต์ผมเลื่อมใส เพราะทำที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้นั่งในรถก็ได้ อยู่บ้านก็ได้ นอนกับลูกกับเมียก็จริญสติได้ ไม่เห็นมีอะไร และที่ว่าไม่มีทางลัด ก็เป็นความจริง ขอให้ท่านพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้า คัมภีโร ลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าเดินทางลัดกันง่ายๆ หรือว่ามีวิธีที่ง่ายๆ ถ้าง่ายก็ไปนิพพานกันเป็นแถว ไม่ใช่ของง่าย ของดีจริง วิเศษจริง ต้องยาก เพราะฉะนั้น เราต้องเพียรพยายาม อย่างที่พระพุทธจ้าท่านตรัสว่า สุโข ปุญญัสสะ อุจจะโย การสั่งสมบุญเป็นสุข สั่งสมทีละน้อย เหมือนหยาดน้ำฝนที่ตกลงมาทีละหยาดๆ เดี๋ยวก็เต็มเอง [ตอนที่ 240]


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JSung
วันที่ 24 ต.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สิริพรรณ
วันที่ 24 ต.ค. 2568

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า

ถ้าไม่เริ่มต้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่า อะไรเป็นธรรม หาธรรมเท่าไรก็ไม่พบ แล้วจะละคลายความไม่รู้ได้อย่างไร ปัญญาเริ่มต้นด้วยการฟังจริงๆ ฟังเพื่อเข้าใจ ไตร่ตรองความจริงที่มีตามปกติในชีวิตประจำวัน โดยไม่เลือก สะสมความเข้าใจถูกเพิ่มขึ้นๆ แม้ทีละน้อย แต่มีค่า เพราะไม่เข้าใจผิด

กราบเท้าท่านอาจารย์ผู้พร่ำสอนกล่าวความละเอียดที่พระพุทธองค์ทรงแสดง

ยินดีในกุศลสหายธรรมทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
talaykwang
วันที่ 24 ต.ค. 2568

"คงไม่ลืมนะคะ ในมหาสติปัฏฐานสูตร จะมีข้อความที่กล่าวไว้ทุกบรรพว่า "เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน" ถ้าทิ้งคำว่า "ปกติ" ก็ไม่สามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพความเป็น "อนัตตา" ของธรรมที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้ที่รู้จริง อย่าลืมนะคะ "รู้จริง" คือ รู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ตามปกติ ตามความเป็นจริง"

ศึกษาเพิ่มเติม

เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ... คืออย่างไร?

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลผู้มีคุณทุกท่านทุกประการ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 25 ต.ค. 2568

สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกรูปสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ