ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๗

 
khampan.a
วันที่  5 ต.ค. 2568
หมายเลข  51099
อ่าน  2,248

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๗





~ การดำรงพระพุทธศาสนา ผู้นั้นต้องมีความเข้าใจที่ถูก ไม่ใช่ว่าใครคิดจะดำรงพระพุทธศาสนาแต่ไม่ศึกษาธรรมให้เข้าใจแล้วสามารถจะดำรงพระพุทธศาสนาได้ สร้างวัด สร้างอารามต่างๆ แต่ไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่การดำรงพระพุทธศาสนา

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศความจริง ใช่ไหม? เมื่อเป็นความจริงอย่างนี้ควรจะให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วยหรือเปล่า? พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออะไร? ให้คนอื่นได้เข้าใจ แล้วคนที่เข้าใจแล้วควรให้คนอื่นได้เข้าใจหรือเปล่า? ทำผิดตรงไหนที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง?

*** ~ เห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตแต่ละชาติว่าไม่มีประโยชน์อื่นใดที่จะเสมอเท่ากับการได้ฟังและได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งที่ได้ฟัง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นขณะใด ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายกิเลสซึ่งสะสมมา แต่เหมือนหยดน้ำทีละหยดบนหินก้อนใหญ่มหึมา จนกว่าอกุศลนั้นจะหมดไป ท้อถอยไหม? ไม่ท้อถอย เพียรที่จะฟังต่อไป***

~ ทำไมจึงไม่ตั้งมั่นในคุณความดี? เพราะไม่รู้ว่าคุณความดีมีแต่ประโยชน์ ส่วนความไม่ดีนั้นมีแต่โทษ เมื่อไม่รู้จริงๆ อย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้ารู้ความจริงเมื่อไหร่ ก็ตั้งมั่นในความดีมากขึ้น จะไม่ได้รับโทษภัยใดๆ เลยทั้งสิ้นจากความดี ความดีต้องนำมาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์

~ เก็บกิเลสมากไหม? ทางตาเก็บแล้ว ทางหูเก็บอีก ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ เก็บทุกวัน เพราะฉะนั้น กิเลสมาก แม้จะได้ฟังธรรมแล้ว อย่าคิดว่าเพียงเล็กน้อยที่ได้ฟังจะทำลายกิเลสได้ แต่ก็ยังเป็นแสงสว่างในความมืดที่จะทำให้เห็นถูกว่าไม่ใช่เรา แล้วการที่มีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะค่อยๆ สะสมไปจนกระทั่งทำให้ทางฝ่ายกุศลมีกำลัง

~ ชีวิตประสบกับขึ้นๆ ลงๆ ทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็มาจากเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ก่อนการฟังธรรมศึกษาธรรมก็มักจะคิดว่าทำไมจะต้องเป็นเรา แต่เมื่อศึกษาแล้วจะเข้าใจว่า เพราะต้องเป็นเรา จะเป็นคนอื่นไม่ได้ ในเมื่อเป็นกรรมที่เราทำมา เราจะไปให้กรรมกับคนอื่นหรือให้ผลกับคนอื่นก็ไม่ได้ ทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับบุคคลใด ก็เพราะเหตุที่บุคคลนั้นได้กระทำมาแล้ว

~ การฟังพระธรรมเมื่อเข้าใจแล้ว ไม่เป็นโมฆะคือไม่ว่างเปล่า ไม่เสียเวลา เป็นสาระที่สุดในชีวิต เพราะว่าสามารถที่จะสะสมสืบต่อไป ทรัพย์สมบัติที่ได้มา จากชาตินี้ก็หมดแล้ว เป็นบุคคลนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เป็นคนอื่นแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติ เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ บริวารหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่เข้าใจว่าเป็นของเรา เมื่อจากโลกนี้ไปก็เห็นกันชัดเจนว่า ไม่ใช่ของคนที่จากไปแน่นอน

~ ขณะนี้ สภาพธรรมทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางกายก็ดีทางใจก็ดี เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก เป็นเพราะความไม่รู้ เป็นเพราะการไม่อบรมปัญญาให้สมบูรณ์ จึงไม่สามารถประจักษ์ในความเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่เมื่อจะประจักษ์ ก็ไม่ใช่ประจักษ์ในขณะอื่น เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ให้หลีกเลี่ยง หลบไปรู้สิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏ แต่ขณะนี้ สภาพธรรมใดกำลังเป็นของจริง คือ กำลังปรากฏ จะต้องอบรมเจริญปัญญาจนรู้ชัด และสามารถแทงตลอดในความเกิดดับของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ

~ กุศลย่อมเกิดยาก เจริญยากกว่าอกุศล อกุศลเกิดง่าย โลภะ ไม่ต้องระมัดระวังอะไรเลย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีอยู่ตลอดเวลา โทสะ โมหะ ก็เหมือนกัน แต่ที่จะให้จิตเป็นไปในกุศล เป็นไปในการขัดเกลา และดับกิเลส เป็นเรื่องที่ยากซึ่งถ้าไม่เห็นโทษของอกุศล กระทำอกุศลอยู่เนืองนิตย์ ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา วันหนึ่งใครจะรู้ได้ว่า ท่านจะกระทำอกุศลกรรมหนักเพียงไร เพราะว่าการที่จะกระทำอกุศลกรรมหนักๆ ได้ ย่อมมาจากการกระทำทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งขาดความละอาย จึงสามารถที่จะกระทำทุจริตกรรมที่ร้ายแรงได้

~ คำว่า "ธรรม" คำเดียว ครอบคลุมโลกทั้งโลก จักรวาลทั้งหมด และ คำสอนทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ถ้าเข้าใจว่า ธรรมหมายความถึง สิ่งที่มีจริง และสิ่งนั้นเป็นสภาพที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จึงเป็นธรรม เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ถ้าเข้าใจธรรมแล้วจะรู้ว่าไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรม เสียง ก็เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เพราะเป็นของจริงที่เกิดขึ้นปรากฏให้พิสูจน์ได้ว่ามีจริงสิ่งที่มีจริงนั้น ใครจะเรียกว่าธรรมหรือไม่เรียกว่าธรรม แต่ลักษณะ สภาพนั้นก็เป็นธรรม

*** ~ ถ้าเป็นผู้ที่โกรธ แต่ไม่พยาบาท อภัยได้ และไม่ผูกโกรธ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้ที่ว่ายาก แต่ถ้าเป็นผู้ที่ไม่ยอมอภัย และยังพอใจที่จะโกรธอยู่ เป็นผู้ที่ไม่น้อมประพฤติปฏิบัติธรรม นั่นคือผู้ที่ว่ายาก***

~ กิเลสทั้งหลายเป็นภัยที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งอยู่ภายในตัวเอง ไม่ได้อยู่ไกลเลย เป็นสิ่งไม่ดีที่มีอยู่ในจิตใจ เป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรมต่างๆ และจะเป็นผู้ที่ได้รับวิบาก คือ ผลของอกุศลกรรมนั้นๆ เองด้วย

~ ไม่ควรประมาทในเรื่องของอกุศล และจะเห็นได้ว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ย่อมเป็นประโยชน์ในทุกทางที่จะให้ท่านได้พิจารณาธรรมโดยละเอียดจริงๆ เพราะถ้าต้องการเจริญปัญญา เจริญกุศล ต้องไม่ประมาทที่จะรู้จักอกุศลของตนเองด้วย

~ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็คือ ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นแล้วเห็นชัดว่าไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็มีความเข้าใจในความไม่เที่ยงความไม่แน่นอน เข้าใจในความเป็นธรรมที่จะต้องเกิดดับไปโดยยับยั้งไม่ได้ เพราะจากขณะนี้ไปเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต

~ ทุกชีวิตที่เกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติไม่แน่นอนเลย มีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งก็เป็นช่วงเวลาของอกุศล ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้การสะสมของกุศลและอกุศลว่า ในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดมาก และในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้กุศลประเภทใดเกิดมาก เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศล

~ การไม่รู้ธรรมแต่ละหนึ่งตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดฝังแน่นมานานแสนนานในแสนโกฏกัปป์ เพราะฉะนั้น ต้องตรงตามความเป็นจริงว่า ทำไมมีอกุศลมาก? เพราะไม่รู้ว่าไม่ใช่เราและเป็นเหตุให้สะสมสิ่งที่เป็นอกุศลมาก เพราะฉะนั้น อกุศลมีปัจจัยที่จะเกิดมากกว่ากุศลมากทีเดียว

~ ต้องอาศัยบารมี คือ คุณความดีกุศลนานาประการซึ่งถ้ากุศลไม่เกิดทั้งวันก็เป็นอกุศลโดยไม่รู้เลยสักนิดเดียวว่า ขณะนั้นได้พอกพูนความไม่รู้และความติดข้องในความเป็นเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม มีค่าเหนือสิ่งอื่นใดในชีวิต

~ จิตแต่ละหนึ่งเกิดขึ้นและดับไป จิตที่ดับไปแล้วนั่นเอง เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่สะสมมีอยู่ในจิตที่ดับไปแล้วนั้นก็สืบต่อไปถึงจิตขณะต่อไป เป็นอย่างนี้มานานแล้วจนกระทั่งถึงวันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้และต่อไปด้วย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เห็นความจริงว่า ธรรมที่เป็นฝ่ายอกุศล มี และ ธรรมที่เป็นกุศล ก็มี แต่ว่าตราบใดที่ศรัทธายังไม่มั่นคง อกุศลก็ต้องเกิดมาก เช่นทุกวัน ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น การได้ฟังอย่างนี้ ก็เป็นการเตือนให้แต่ละคนไม่ประมาทที่จะเห็นโทษของอกุศลและเห็นประโยชน์ของกุศลแม้เพียงเล็กน้อย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้นำสิ่งที่เป็นโทษมาให้ใครเลยแม้นิดเดียว เล็กน้อยสักเท่าไหร่ ก็ไม่มี ทรงชี้ให้เห็นความเป็นจริง อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นประโยชน์

~ กุศลเท่าไหร่ก็ไม่พอ ดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่ขาดการที่จะเป็นกุศลบ่อยๆ



ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๓๖





... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
jaturong
วันที่ 5 ต.ค. 2568

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 5 ต.ค. 2568

เพียรที่จะฟังต่อไป

เห็นประโยชน์สูงสุดในชีวิตแต่ละชาติว่าไม่มีประโยชน์อื่นใดที่จะเสมอเท่ากับการได้ฟังและได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละครั้งที่ได้ฟัง มีความเข้าใจเพิ่มขึ้นขณะใด ขณะนั้นก็ค่อยๆ ละคลายกิเลสซึ่งสะสมมา แต่เหมือนหยดน้ำทีละหยดบนหินก้อนใหญ่มหึมา จนกว่าอกุศลนั้นจะหมดไป ท้อถอยไหม? ไม่ท้อถอย เพียรที่จะฟังต่อไป

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 5 ต.ค. 2568

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
มังกรทอง
วันที่ 6 ต.ค. 2568

แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยเข้าใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ