สติปัฏฐานต่างกับนามรูปปริจเฉทญาณอย่างไร

 
สารธรรม
วันที่  1 ต.ค. 2568
หมายเลข  51060
อ่าน  81

นามรูปปริจเฉทญาณ หมายถึง ปัญญาที่สมบูรณ์ ที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่แต่เฉพาะ นามเดียว รูปเดียว ส่วนสติปัฏฐานเกิดขึ้น จะมีลักษณะของสภาพปรมัตถธรรมปรากฏเป็นอารมณ์ทีละอย่าง โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน


รับฟัง ...

สติปัฏฐานต่างกับนามรูปปริจเฉทญาณอย่างไร

พระคุณเจ้า สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ที่รูปแล้ว ระลึกรู้ที่นามแล้ว จะต่างกับนามรูปปริจเฉทญาณอย่างไร

สุ. นามรูปปริจเฉทญาณ หมายความถึงปัญญาที่สมบูรณ์ ที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่แต่เฉพาะ นามเดียว รูปเดียว

พระคุณเจ้า แต่ถ้าสติปัฏฐานเกิดขึ้น ก็ระลึก …

สุ. จะมีลักษณะของสภาพปรมัตถธรรมปรากฏเป็นอารมณ์ทีละอย่าง โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน

. นามก็เป็นนาม รูปก็เป็นรูปจริงๆ

สุ. ขณะนั้นธาตุรู้ปรากฏ ว่าไม่ใช่เราเลยที่กำลังรู้

. ซึ่งกำลังรู้อารมณ์นั้นเอง

สุ. จึงรู้ได้ว่า ขณะนั้นไม่สามารถจะยึดถือสภาพธรรมใดๆ ว่าเป็นตัวตนเลย เพราะแม้นามธรรมก็ปรากฏว่า เป็นแต่เพียงธาตุรู้ในขณะนั้น

พระคุณเจ้า เพราะในขณะนั้นมีสภาพธรรม เป็นโลกทางตากำลังปรากฏ ซึ่งไม่มี ตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องในขณะนั้น เป็นสภาพธรรมจริงๆ ในขณะนั้นถ้ารู้ลักษณะของรูปและนามแล้ว ขณะนั้นต่างกับนามรูปปริจเฉทญาณอย่างไร

สุ. นามธรรมทุกประเภทที่ปรากฏกับนามรูปปริจเฉทญาณ ไม่ใช่สภาพ ที่เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น เมื่อนามธรรมปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่รูป เป็นสภาพที่เป็นธาตุรู้เท่านั้น ในขณะนั้นแล้วแต่ว่าธาตุรู้ขณะนั้นรู้อะไร ไม่ว่าจะเป็นธาตุรู้อะไรก็ตาม ทุกนามธรรมที่เป็นธาตุรู้นั้นปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงธาตุรู้ หรืออาการรู้โดยตลอด ในขณะที่เป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้เลยว่า จะมาก จะน้อย จะยาว จะสั้นเท่าไร แล้วแต่ความสมบูรณ์ของปัญญา และเมื่อ นามรูปปริจเฉทญาณดับ ธรรมทุกอย่างก็เหมือนเดิม เพราะว่ายังมีอวิชชาเป็นปัจจัย ที่จะทำให้ไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมด้วยญาณที่เป็นวิปัสสนาญาณ

พระคุณเจ้า ถ้าวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น ปัญญาขณะนั้นรู้แจ้งว่า ลักษณะของรูปธรรมไม่ใช่นามธรรมเด็ดขาด

สุ. แน่นอน จึงเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ

พระคุณเจ้า ต้องทั่วทุกทวารไหม

สุ. แล้วแต่ว่าขณะนั้นนามธรรมใดปรากฏ รูปธรรมใดปรากฏ ไม่มี คำถามเลยว่า ทวารไหน อารมณ์อะไร เพราะว่าสภาพธรรมเป็นอนัตตาจริงๆ เมื่อลักษณะใดปรากฏ ก็ประจักษ์แจ้งในลักษณะนั้น

พระคุณเจ้า ขณะที่ปัญญาประจักษ์แจ้งในลักษณะเช่นนั้นแล้ว ปัญญาตรงนั้นเรียกว่านามรูปปริจเฉทญาณ ใช่ไหม

สุ. ใช่ เป็นการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งขณะนี้แม้เป็นจริงอย่างนั้น แต่อวิชชาไม่สามารถประจักษ์แจ้งได้เลย แม้แต่ทางตา ที่กำลังเห็น ยังไม่สามารถแยกปรมัตถธรรมและบัญญัติ ยังไม่สามารถแยกว่า ที่เป็นสุขเป็นทุกข์ในขณะที่เห็น ไม่ใช่ขณะที่เป็นจักขุทวารวิถีจิต เพราะจักขุทวารวิถีจิต คือ จิตที่อาศัยตาเกิดขึ้นเห็นหรือรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนั้นยังไม่มีการนึกถึง รูปร่างสัณฐานเป็นวัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ เวลาที่สติเกิด เมื่อมีความเข้าใจในอรรถโดยทั่วถึง ของสภาพธรรม เมื่อนั้นจะทำให้สติระลึกได้ถูกและพิจารณาธรรมได้ตรง เช่น จักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท มีความสำคัญอย่างไรบ้างในชีวิตประจำวัน ทุกคนเห็นจนชิน ไม่ได้คำนึงเลยว่า ในขณะที่เห็น ชั่วขณะที่รูปกระทบกับจักขุปสาทแล้วดับ มโนทวารวิถีจิตไม่ได้ปล่อยสิ่งที่ปรากฏทางตาไปเลย ยังนึกถึงรูปร่างสัณฐาน ยังมีความทรงจำในวัตถุที่ปรากฏ และมีการคิดนึกเรื่องราวยาวทีเดียวด้วยโลภะ หรือด้วยโทสะ [ตอนที่ 1600]


เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ