แต่ละชีวิตที่จะมาสู่พระธรรม
มีหมดทุกอย่าง ยังขาดอะไร พอจะคิดออกไหมว่า ยังขาดอะไร มีหมดทุกอย่างเลย ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติ วงศาคณาญาติ บริวาร แต่ยังขาดอะไร ต้องมีคนช่วยคิดว่ายังขาดปัญญา ก็เป็นลาภอันประเสริฐที่ถึงกาลที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะมาได้ฟัง ต้องมีการสะสมที่จะมีโอกาสที่ถึงกาล
เปิดฟัง ...
ถ. กราบเรียนท่านอาจารย์ คือ ในชีวิตของแต่ละคน บางคนยังไม่ได้สัมผัสธรรมเลย มีความพร้อมในครอบครัว ลูกเต้าก็ประสบความสำเร็จ ฐานะก็ดี ไม่มีความทุกข์อะไร ชีวิตก็สมบูรณ์ดี เกียรติยศก็มี เพราะฉะนั้น ทำอย่างไรจึงจะ ทำให้เขาได้สัมผัสธรรม โดยที่เขาคิดว่าไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่ดิฉันคิดว่า ยังต้องทำ แต่ดิฉันไม่มีปัญญาที่จะเกื้อกูลเพื่อน ต้องขอให้ท่านอาจารย์เกื้อกูล
สุ. ก็ไตร่ตรองดู มีหมดทุกอย่างครบแล้ว แต่ยังขาดอะไร
ถ. เขาก็ไม่ได้บอก แต่ดูเขาสุขสมบูรณ์ดี
สุ. แต่คนที่สมบูรณ์แล้ว อาจจะใคร่ครวญพิจารณาได้ว่า ยังขาดอะไรนะ พอจะคิดออกไหมว่า ยังขาดอะไร มีหมดทุกอย่างเลย ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติ วงศาคณาญาติ บริวาร แต่ยังขาดอะไรนะ
ถ. ถ้าบอกว่า ขาดปัญญา เขาก็ไม่รู้อีก เพราะว่าปัญญาทางโลกของเขาเต็มที่แล้ว จะให้นึกถึงปัญญาทางธรรม เขาคงคิดไม่ออก
สุ. ก็ต้องมีคนช่วยคิด ว่ายังขาดปัญญา
ถ. เขาก็ไม่ได้อวดว่ามี แต่ก็อยากชักชวนเพื่อน
สุ. คงไม่มีใคร ศาสตราจารย์ หรืออะไรมากมาย ปริญญายาวเหยียดที่จะมีความรู้เท่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อให้ไปแสวงหาสักเท่าไรในแสนโกฏิกัปป์ กว่าจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นบุญกุศลของ ผู้มีโอกาสที่ได้ยินคำนี้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าจะถึงกาลสมัยหนึ่ง ซึ่งแม้คำนี้ก็ไม่ได้ยิน ไม่มีทางเลยเมื่อพระศาสนาหมดแล้ว อันตรธานแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้ายังอยู่ในกาล หรืออยู่ในแหล่งที่มีโอกาสจะได้ยินคำนี้ ก็เป็นลาภ อันประเสริฐที่จะรู้ว่า มีผู้หนึ่งซึ่งทุกท่านนอบน้อมสักการะในพระปัญญาคุณ ในพระบริสุทธิคุณ ในพระมหากรุณาคุณ
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินชื่อ และเคารพสักการะ โดยไม่รู้ว่า ท่านทรงตรัสรู้อะไร และทรงแสดงธรรมอะไรถึง ๔๕ พรรษา เช้า สาย บ่าย เย็น มากกว่าใครทั้งหมดเลย เกือบจะเรียกได้ว่า ทั้งวันทั้งคืน นอกจากเวลาที่ทรงพักผ่อน หรือเวลาที่มีกิจที่จะต้องเดินทางไกล
น่าอย่างยิ่งที่จะสนใจว่า พระองค์ทรงตรัสรู้อะไร และสอนอะไร ทิ้งคำสอน และคำพูดของบุคคลอื่นทั้งหมด มุ่งไปหาคำที่พระองค์ทรงตรัสรู้และสอน ซึ่งไม่ยาก เพราะว่าพระไตรปิฎกมี อรรถกถามี และสำนักเรียนมี ที่เรียนมี โดยเฉพาะที่นี่ก็มี
เห็นไหม ทุกคนมาอย่างไรไปอย่างไรจึงมาถึงที่นี่ มาอย่างไรในสังสารวัฏฏ์ด้วย ไม่ใช่เฉพาะวันนี้วันเดียว ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานมาก เราก็คงจะได้ผ่านพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้างแล้ว เพราะว่ามีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตหลายพระองค์มาก แต่ความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าฟังแล้วรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย เป็นเรื่องของจิรกาลภาวนา คือ การอบรมสะสมอย่างมากทีเดียว
อย่างพวกเราก็ทำกุศลมาแล้วในอดีต จึงได้เกิดเป็นมนุษย์ กรรมหนึ่งที่เป็นกุศลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ไม่บ้าใบ้บอดหนวกด้วย และมีโอกาสได้ฟังพระธรรม แต่ให้คิดถึงว่า ตอนเป็นเด็กมีใครคิดบ้างว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ จะฟังเรื่องอย่างนี้ แต่ละชีวิตก็ไปแต่ละแบบ แต่สังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งสืบๆ มาจากจิตแต่ละหนึ่งขณะๆ จนถึงกาลที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะมาได้ฟัง ต้องมีการสะสมที่จะ มีโอกาสที่ถึงกาล เพราะว่าบางคนบ้านเดียวกันแต่ไม่ฟัง วิทยุก็เปิด ก็ยังไม่ฟัง เพราะว่าสังขารขันธ์ของเขายังไม่ได้ปรุงแต่งจนกระทั่งถึงกาลที่จะฟัง
และในขณะที่กำลังฟัง ให้ทราบว่า เราต้องเข้าใจธรรมละเอียดตั้งแต่ต้นว่า เป็นธรรม ไม่มีเรา เพื่อที่จะเอาเราออก ถ้ามีเรานี่มีความทุกข์ เราต้องเป็นอย่างนี้ เราต้องดีอย่างนั้น ถ้าเราไม่ดีอย่างนั้น เราก็จะเดือดร้อนใจอย่างโน้น สารพัดที่จะเดือดร้อน แต่ถ้าเป็นธรรมล้วนๆ เราจะเข้าใจถูกว่า อกุศลก็เป็นอกุศล เกิดเพราะ เหตุปัจจัยและก็ดับ แม้กุศลก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและก็ดับไปแล้ว เป็นของใคร ที่ไหน ถ้าเข้าใจลึกซึ้งถึงความเป็นธาตุแต่ละอย่าง เป็นธาตุจริงๆ เป็นธรรมธาตุ ก็จะเห็นได้ว่า แม้ขณะที่กำลังฟังขณะนี้ก็มีเหตุปัจจัยที่จะได้ฟังแล้ว แต่ว่า ความศรัทธา ความสนใจ ปัญญาที่สะสมมามากพอที่จะฟังต่อไปหรือเปล่า หรือว่า มีโอกาสเพียงแค่ได้ฟัง แต่ไม่ได้ติดตาม หรือไม่ได้สนใจต่อไป ก็ต้องคอยอีกนาน แสนนานกว่าจะมีโอกาสได้ยินได้ฟังอีก และค่อยๆ เห็นประโยชน์ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
แต่ถ้าสะสมมามาก อย่างคนในครั้งพุทธกาล บางท่านโกรธ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปเฝ้า ฟังธรรม รู้เลยว่าไม่เคยได้ยินคำอย่างนี้มาก่อน และสามารถที่จะเข้าใจได้ บางท่านก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
เพราะฉะนั้น แต่ละชีวิตที่จะมาสู่พระธรรม อาจจะมาโดยลักษณะต่างๆ กัน ในสมัยโน้นคนเห็นผิดก็มีมาก เมื่อได้ฟังพระธรรมจึงได้เกิดความเห็นถูกขึ้น ทุกกาลสมัยก็เป็นอย่างนี้ แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ซ้ำกันเลยในที่นี้ แต่ละชีวิต ที่ผ่านมา ก็เป็นชีวิตที่สังขารขันธ์มีโอกาสที่จะปรุงแต่งจนกระทั่งสามารถได้ฟังในขณะนี้ [ตอนที่ 1840]
สนทนาธรรมที่ จ. ฉะเชิงเทรา
วันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๑
ทำกุศลมาแล้วในอดีต จึงได้เกิดเป็นมนุษย์ กรรมหนึ่งที่เป็นกุศลทำให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่ไม่บ้าใบ้บอดหนวกด้วย และมีโอกาสได้ฟังพระธรรม แต่ให้คิดถึงว่า ตอนเป็นเด็กมีใครคิดบ้างว่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ จะฟังเรื่องอย่างนี้
แต่ละชีวิตก็ไปแต่ละแบบ แต่สังขารขันธ์ที่ปรุงแต่งสืบๆ มาจากจิตแต่ละหนึ่งขณะๆ จนถึงกาลที่จะได้ฟังพระธรรม ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จะมาได้ฟัง ต้องมีการสะสมที่จะ มีโอกาสที่ถึงกาล เพราะว่าบางคนบ้านเดียวกันแต่ไม่ฟัง วิทยุก็เปิด ก็ยังไม่ฟัง เพราะว่าสังขารขันธ์ของเขายังไม่ได้ปรุงแต่งจนกระทั่งถึงกาลที่จะฟัง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ



