เรื่องชายตาบอดกับชายเปลี้ย
สำหรับในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ตั้งแต่เกิดเป็นต้นมา นามธรรมกับรูปธรรมจะปราศจากหรือไม่อาศัยกันไม่ได้เลย ซึ่งข้อความในอรรถกถาเปรียบด้วยเรื่องของ ชายตาบอดแต่กำเนิดกับชายเปลี้ย ชายตาบอดแต่กำเนิด ได้แก่ รูปธรรม ซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ใดๆ ทั้งสิ้น และชายเปลี้ยซึ่งไม่มีแรง ไม่มีกำลัง ได้แก่ นามธรรม
รับฟัง ...
ข้อความในอรรถกถามีว่า
ชาย ๒ คน นั่งอยู่ที่ศาลาริมประตูเมือง ในบรรดาคนทั้ง ๒ นั้น ชายเปลี้ยพูดว่า พ่อบอดเอ๋ย เหตุไฉนเจ้าจึงผอมโซเที่ยวอยู่ในที่นี้เล่า ถิ่นโน้นมีภิกษาหารหาได้ง่าย มีข้าว มีน้ำมาก จะไปหากินโดยสะดวกในถิ่นนั้นไม่ควรหรือ
ชายตาบอดตอบว่า เจ้าบอกเราก่อนว่า ก็เจ้าไปหากินโดยสะดวกในถิ่นนั้น ไม่ควรหรือ
ชายเปลี้ยตอบว่า เท้าที่จะเดินไปของเราไม่มีนี่นา
ชายตาบอดก็ตอบว่า แม้ตาที่จะมองเห็นของเราก็ไม่มีนี่
ชายเปลี้ยพูดว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงเป็นเท้า เราจงเป็นตาซิ
ทั้งสองคนต่างตกลงรับคำกัน ชายตาบอดแต่กำเนิดให้ชายเปลี้ยขึ้นบ่า ชายเปลี้ยนั่งบนบ่าของชายตาบอด เอามือซ้ายโอบศีรษะ เอามือขวากำหนดทาง บอกว่า รากไม้ขวางอยู่ที่นี้ หินอยู่ที่นี่ จงละทางซ้าย จงถือทางขวา จงละทางขวา จงถือทางซ้าย ดังนี้
เท้าเป็นของชายตาบอดแต่กำเนิด นัยน์ตาเป็นของชายเปลี้ย ฉะนั้น ทั้ง ๒ คนได้ไปถึงที่ประสงค์ด้วยความพยายามร่วมกัน หากินโดยสะดวก ด้วยประการฉะนี้
ทุกขณะของทุกท่าน มีนามธรรม และรูปธรรมซึ่งต้องอาศัยกัน กระทำกิจ การงานทุกอย่าง โดยที่ว่านามธรรมทำอะไรไม่ได้เลยถ้าปราศจากรูป และรูปก็กระทำกิจใดๆ ไม่ได้เลยถ้าปราศจากนาม
ข้อความต่อไปมีว่า
ในข้อนั้น รูปกายเปรียบเหมือนชายตาบอดแต่กำเนิด นามธรรมเปรียบเหมือนชายเปลี้ย รูปเว้นจากนามธรรมก็ไม่สามารถจะให้ถึงการยึดถือ การจับ และการไหว เปรียบเหมือนการที่ชายตาบอดแต่กำเนิดเว้นจากชายเปลี้ย ก็ไม่เกิดการเดินทางไปยังถิ่นต่างๆ ได้
อรูปเว้นรูปเสีย ก็เป็นไปไม่ได้ในปัญจโวการภพ รูปธรรม และอรูปธรรมมี ความเป็นไปในกิจทั้งปวงได้ก็ด้วยความพยายามร่วมกัน เปรียบเหมือนกาลที่ชาย ทั้งสองไปสู่ที่ที่ประสงค์ด้วยความพยายามร่วมกัน และหากินโดยสะดวกแล
ขณะนี้กำลังหากินโดยสะดวก ทางตาเห็น กินรูป ชอบ ชวนะเสพ พอใจที่จะเห็น ขวนขวายหาอยู่ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่จะสมประสงค์ได้ก็เพราะทั้งนามธรรม และรูปธรรมอาศัยกัน และกัน [ตอนที่ 1521]
เป็นชีวิตประจำวันซึ่งทุกท่านพิจารณาได้ คือ เท่าที่สังเกตมาก็รู้สึกว่า ถ้าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนา โลภะจะยินดีพอใจในอารมณ์นั้น แต่ข้อความตอนนี้มีว่า โลภะย่อมไม่เกิดในรูปที่น่าปรารถนาเท่านั้น แสดงว่าแม้ในรูปที่ไม่น่าปรารถนา โลภะก็ยังเกิดได้ด้วย
และโทสะก็ย่อมไม่เกิดในรูปที่ไม่น่าปรารถนาเท่านั้น คือ โทสะในรูปที่น่าปรารถนาก็มี
บางสิ่งน่าปรารถนา น่าชื่นชม แต่โทสะก็ไม่ชอบ สำหรับบางท่านเป็นอย่างนั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ


