เค้ามูลแห่งฉันทะ ตอนที่ ๔ [สักกปัญหสูตร]

 
wittawat
วันที่  3 ก.ย. 2568
หมายเลข  50858
อ่าน  115

เค้ามูลแห่งฉันทะ ตอนที่ ๔ [สักกปัญหสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 134
ส. ฉันทะ (ความพอใจ) มีอะไรเป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่ออะไรยังมีอยู่ ฉันทะจึงมี เมื่ออะไรไม่มี ฉันทะจึงไม่มี.
พ. ฉันทะมีวิตก (ความตรึก) เป็นนิทาน เป็นสมุทัย เป็นชาติ เป็นแดนเกิด เมื่อวิตกยังมีอยู่ ฉันทะย่อมมี เมื่อไม่มี ฉันทะ ย่อมไม่มี.


พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 177
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า มีความตรึกเป็นเค้ามูล นี้.
ความตรึกที่เกิดจากความรู้สึกตระหนักแน่ที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า อาศัยลาภเกิด
ความรู้สึกตระหนักแน่ ชื่อว่า ความตรึก.
คําว่า ความรู้สึกตระหนักแน่ คือ ความรู้สึกตระหนักแน่ มีสองอย่างคือ ความรู้สึกตระหนักแน่คือตัณหา และความรู้สึกตระหนักแน่คือทิฎฐิ.
ตัณหาวิปริต ๑๐๘ ชนิด ชื่อว่า ความรู้สึกตระหนักแน่คือตัณหา
ความเห็น ๖๒ อย่าง ชื่อว่า ความตระหนักแน่คือทิฏฐิ
ก็ด้วยประการฉะนี้ จึงไม่มีการชี้ขาดลงไปว่าน่าใคร่ไม่น่าใคร่ และน่ารักไม่น่ารักด้วยอํานาจความตระหนักแน่ คือ ตัณหา ที่กล่าวมาแล้วอย่างนั้น
เพราะสิ่งนั้นเองเป็นของน่าใคร่สําหรับบางคน ไม่น่าใคร่สําหรับบางคน
เหมือนการชี้ขาดในไส้เดือนมฤคและเนื้อเป็นต้น ของพระราชาในส่วนภูมิภาค และพระราชาในประเทศส่วนกลาง
ก็เมื่อวัตถุที่ได้รับมานั้นถูกชี้ขาดด้วยความตระหนักแน่คือตัณหาแล้ว
จึงจะมีการ ชี้ชัดลงไปด้วยความรู้สึกตระหนักแน่คือความตรึกว่า เป็นของรูปเท่านี้
เท่านี้เป็นของเสียง
เป็นของกลิ่นเท่านี้
เท่านี้เป็นของรส
เป็นของสิ่งที่พึงถูกต้องเท่านี้
เท่านี้เป็นของเรา
เป็นของเขาเท่านี้
เท่านี้จะเก็บไว้ จะให้เท่านี้.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า จอมทวยเทพ ความพอใจนี้เอง มีความตรึกเป็นเค้ามูล ดังนี้.


ทีฆนิกายฏฺฐกถา (สุมงฺคลวิลาสินี๒) - หน้าที่ 548
วิตกฺกนิทาโนติ
“บทว่า ‘มีความตรึกเป็นเค้ามูล’ นี้”
เอตฺถ ลาภํ ปฏิจฺจ วินิจฺฉโยติ
“ในที่นี้ การวินิจฉัย (วินิจฺฉโย หมายถึง การวินิจฉัย, การจำแนก, การตัดสิน, การแยกแยะให้ชัด) เกิดขึ้นอาศัยลาภ”
เอวํ วุตฺโต วินิจฺฉยวิตกฺโก วิตกฺโก นาม ฯ
“ความตรึก ที่เรียกว่า วินิจฺฉยวิตกฺก (ความตรึกที่เป็นไปในการวินิจฉัย) เรียกว่า ความตรึก”
วินิจฺฉโยติ เทฺว วินิจฺฉยา ตณฺหาวินิจฺฉโย จ ฯ
“คำว่า การวินิจฉัย มีสองอย่าง ได้แก่ ตัณหาวินิจฉัย.
ทิฏฺฐิวินิจฺฉโย จ ฯ
และทิฏฐิวินิจฉัย”
อฏฺฐสตตณฺหาวิปริตํ ตณฺหาวินิจฺฉโย นาม ฯ
“ตัณหาวิปริต (วิปริตํ หมายถึง ผิดเพี้ยน คลาดเคลื่อนจากความจริง) ๑๐๘ อย่าง ชื่อว่า ตัณหาวินิจฉัย”
ทฺวาสฏฺฐิทิฏฺฐิโย ทิฏฺฐิวินิจฺฉโย
“มีทิฏฐิ ๖๒ ชือว่า ทิฏฐิวินิจฉัย”
นามาติ เอวํ วุตฺตตณฺหาวินิจฺฉยวเสน หิ อิฏฺฐานิฏฺฐปิยาปิยววตฺถานํ น โหติ ฯ
“ดังนั้น ด้วยอำนาจของตัณหาวินิจฉัยที่กล่าวมาแล้ว จึงไม่มีการชี้ขาดว่า สิ่งใดน่าใคร่หรือไม่น่าใคร่ สิ่งใดน่ารักหรือไม่น่ารัก”
ตเทว หิ เอกจฺจสฺส อิฏฺฐํ โหติ ฯ เอกจฺจสฺส อนิฏฺฐํ
“เพราะสิ่งนั้นเอง น่าปรารถนาสำหรับบุคคลบางคน ไม่น่าปรารถนาสำหรับบุคคลบางคน”
ปจฺจนฺตราชมชฺฒิมเทสราชูนํ คณฺฑุปฺปาทมิคมํสาทีสุ วิย ฯ
“เหมือน (ความชอบหรือไม่ชอบ) ของพระราชาในหัวเมืองกับพระราชาในแคว้นใหญ่ ที่มีต่อไส้เดือน มฤค หรือเนื้อเป็นต้น”
ตสฺมึ ปน ตณฺหาวินิจฺฉเยน วินิจฺฉิเต ปฏิลทฺธวตฺถุสฺมึ
“ครั้นวัตถุใดถูกตัดสินด้วยตัณหาวินิจฉัยนั้นแล้ว”
เอตฺตกํ รูปสฺส ภวิสฺสติ ฯ เอตฺตกํ สทฺทสฺส ฯ เอตฺตกํ รสสฺส ฯ
“ (ย่อมจำแนกว่า) จะมีรูปเท่านี้ จะมีเสียงเท่านี้ จะมีรสเท่านี้”
เอตฺถ โผฏฺฐพฺพสฺส ภวิสฺสติ ฯ
“จะมีสิ่งที่ถูกต้องสัมผัสได้เท่านี้”
เอตฺตกํ มยฺหํ ภวิสฺสติ เอตฺตกํ ปรสฺส ภวิสฺสติ ฯ
“ของเราจะได้เท่านี้ ของผู้อื่นจะได้เท่านี้”
เอตฺตกํ นิทหิสฺสามิฯ

“จะเก็บเท่านี้”

เอตฺตกํ ทสฺสามีติ ววฏฺฐานํ วิตกฺกวินิจฺฉเยน โหติ
“การกำหนด (ววฏฺฐานํ) ว่า ‘เราจะให้เท่านี้’ ย่อมมีด้วยการวินิจฉัยโดยวิตก”
เตนาห ฉนฺโท โข เทวานมินฺท วิตกฺกนิทาโนติ ฯ
“เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ‘จอมทวยเทพ ความพอใจย่อมมีความตรึกเป็นเค้ามูล ดังนี้’”


[สรุป]
>> ฉันทะ ที่อรรถกถาแสดงไว้ในบทก่อนหน้านี้ ว่าหมายถึง ตัณหา ที่มีอาการพอใจ ๕ ประเภท (ความพอใจที่เกิดแล้ว ย่อมแสวงหาทรัพย์ ... ย่อมได้ทรัพย์ ... ย่อมบริโภคทรัพย์ ... ย่อมสะสมทรัพย์ ... ย่อมใช้จ่ายทรัพย์) นั้นมีรากเหง้าคือ ความตรึก (วิตก)
>> และความตรึก โดยนัยแห่งพระสูตรนี้หมายถึง ความตรึกที่เป็นไปในการวินิจฉัย
>> การวินิจฉัย มี ๒ ประการ คือ ตัณหา และทิฏฐิ
>> ตัณหาวินิจฉัย ไม่ข้องเกี่ยวกับการตัดสินว่าเป็น เป็นวัตถุที่น่าปรารถนา หรือวัตถุที่ไม่น่าปรารถนา
>> เพราะวัตถุเดียวกันนั้นเอง เป็นที่น่าปรารถนาสำหรับบางบุคคล และเป็นที่ไม่น่าปรารถนาสำหรับบางบุคคล เช่น ไส้เดือน (คณฺฑุปฺปาท) เป็นต้น
>> วัตถุที่ถูกตัดสินด้วยตัณหาวินิจฉัย จะปรากฏว่ามีรูป เสียง กลิ่น รส กระทบสัมผัสเท่านี้ เป็นของเราเท่านี้ เป็นของคนอื่นเท่านี้ จะให้คนอื่นเท่านี้ เกิดขึ้นด้วยความตรึกที่เป็นไปในการวินิจฉัย


เรียนอาจารย์คำปั่น
1. ความตรึกที่เป็นไปในการวินิจฉัยตามพระสูตรนี้ ผมเข้าใจว่า เป็นความตรึกที่เกิดขึ้นเป็นไปด้วยโลภะ หรือความตรึกที่เกิดขึ้นไปเป็นด้วยทิฏฐิ เช่น ความคิดนึกถึงวัตถุ มีรองเท้าเป็นต้น ว่ารูปร่างหน้าตา สีสัน ความอ่อนนุ่มอย่างไร จะเก็บไว้ให้ตัวเอง หรือให้ใคร และเมื่อความตรึกนี้เกิดขึ้น โลภะที่พอใจย่อมเกิดขึ้น ย่อมแสวงหา ย่อมได้มา ย่อมใช้สอย เป็นต้น ผิดถูกอย่างไร ขออาจารย์พิจารณา

กราบอนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 5 ก.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตด้วยครับ เมื่อไตร่ตรองในเหตุในผล ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ต้องไม่ลืมในความเป็นจริงว่า วิตักกะ เป็นเหตุให้เกิดโลภะ และในขณะที่วิตักกะเกิด ก็เป็นไปพร้อมกับโลภะ โดยที่ไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ได้ และ เป็นไปพร้อมกับโลภะที่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ได้ ครับ

... ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตและทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wittawat
วันที่ 5 ก.ย. 2568

กราบอนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ