จะไม่ประมาทในพระศาสนานี้

 
เมตตา
วันที่  3 ก.ย. 2568
หมายเลข  50856
อ่าน  341

[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้า 69

ก็ในที่นี้ควรด้วยอรรถทั้ง ๓ คือด้วยอรรถว่าเป็นแดนเกิด ด้วย อรรถว่าเป็นที่ประชุม ด้วยอรรถว่าเป็นเหตุ.

จิตนี้เป็นอายตนะ แม้ด้วยอรรถว่าเป็นแดนเกิด ในประโยคว่า ก็ ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น ย่อมเกิดในจิตนี้ ดังนี้. เป็นอายตนะ แม้ด้วย อรรถว่า เป็นที่ประชุมลง ได้ในประโยคว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภายนอก ย่อมประชุมลงในจิตนี้ โดยความเป็นอารมณ์. ก็จิตบัณฑิตพึง ทราบว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ เพราะความที่เจตสิกธรรม ทั้งหลายมี ผัสสะ เป็นต้นเป็นเหตุ เพราะอรรถว่าเป็นปัจจัย มีสหชาตปัจจัยเป็นต้น.


อ.อรรณพ: เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจในอรรถะสาระที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าไม่เป็นผู้ที่ละเอียด อย่างเช่น คำว่า ค้นคว้า ก็จะเป็นเราที่จะไปคิดไปค้นคว้าจะไปทำครับ

เป็นประโยชน์ แต่เมื่อแม้จะใช้คำว่า ค้นคว้า แต่ก็ค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่เป็นเรา แต่เป็นปัญญาที่เข้าใจไตร่ตรองจากการเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ท่านอาจารย์ครับถ้าจะให้มีโอกาสได้กล่าวละเอียดขึ้น อย่างเช่น ขณะนี้มีเห็น เห็นก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เห็นนั่นแหละ หรือธรรมะนั้นนั่นแหละ

ท่านอาจารย์: คุณอรรณพ แค่พูดว่า เห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ก็ไม่ใช่!! เพราะเหตุว่า ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรมะอย่างหนึ่งตามที่พูด แค่พูดตามว่า เห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ใช่ธรรมะหรือยัง? หรือยังเป็นเรา?

อ.อรรณพ: ยังเป็นเราครับ

ท่านอา จารย์: จึงทรงเตือนว่า ต้องค่อยๆ เข้าใจ ค้นคว้าความจริงว่า เห็นจะเป็นเราไม่ได้ จนกว่าจะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง

เพราะฉะนั้น พูดได้ เห็นเป็นธรรมะ แต่รู้จักธรรมะหรือ จึงรู้จักชื่อธรรมะ

อ.อรรณพ: กราบเท้าครับ ค้นคว้าความจริงนี่ ตั้งแต่ในขั้นปริยัติเลยใช่ไหมครับ?

ท่านอาจารย์: ก็ไม่ต้องเอ่ยชื่อว่าอะไร เพียงแต่ว่า ฟังแล้วรู้เลยหรือเปล่า? แม้แต่คำว่า ธรรมะคืออะไร และเป็นธรรมะหรือเปล่า? หรือยังเป็นเรา?

แต่เริ่มจะเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรมะ ค่อยๆ มั่นคงขึ้นในความไม่ใช่เรา เมื่อกล่าวคำว่า ธรรมะ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเมื่อกล่าวคำว่า ธรรมะ

อ.อรรณพ: ครับ เพราะว่า ถ้ารู้ในความเป็นธรรมะ แต่ละหนึ่งๆ จริงๆ อย่างที่พูด ก็คงไม่นานคงได้รู้แจ้งประจักษ์ชัด เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นไปตามลำดับของปัญญาว่า ยัง แม้พูดว่ารู้ธรรมะนั้นนะครับ ก็ไม่ใช่ว่า จะรู้ในความเป็นธรรมะนั้นด้วยการประจักษ์แจ้งในทันทีครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่นาน นี่เท่าไหร่?

อ.อรรณพ: ประมาณไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์: กี่กัปป์?

อ.อรรณพ: ประมาณไม่ได้ครับ เพราะเราก็ไม่รู้สิ่งที่สะสมมา แต่ก็ประเมินได้ว่า สะสมมาไม่มากครับ มิเช่นนั้น ก็ต้องรู้ธรรมะนั้น แล้วก็ค้นคว้าจนกระทั่งปัญญาแยกแยะจนรู้ความเกิดดับ ซึ่งไม่ได้รู้ได้อย่างนั้น แน่นอนที่ว่า จะรู้เกิดดับก็ยังไม่ถึงแน่นอน อีกแสนนานก็ต้องเป็นอย่างนั้น

มีอีกนิดครับ จะไม่ประมาทในพระศาสนานี้ ไม่ประมาทในพระศาสนานี้ ก็คือพระศาสนาของพระผู้มีพระภาค พระโคตมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสาระ คือไม่ประมาทในพระศาสนานี้ คืออย่างไรครับ ตั้งแต่เบื้องต้น จนถึงละเอียดขึ้นความไม่ประมาทในพระศาสนานี้ครับ

ท่านอาจารย์: พระศาสนานี้ คืออะไร?

อ.อรรณพ: พระศาสนานี้ ก็คือพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงจากการตรัสรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง

ท่านอาจารย์: ทรงแสดงธรรมะกี่คำ?

อ.อรรณพ: มากมายครับ

ท่านอาจารย์: แล้วประมาทไหม?

อ.อรรณพ: ทรงแสดงธรรมะมากมาย เพราะฉะนั้น แล้วประมาทไหม ประโยชน์ ก็คือไม่ประมาทที่จะฟังแต่ละคำของพระองค์ ค่อยๆ เข้าใจครับ

ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ไปจำ อายตนะ ปฏิจจสมุปาทะ อริยสัจจ์ ๔ ธาตุ ๑๘ หรืออะไรทั้งสิ้น เพราะว่า เดี๋ยวนี้ต้องรู้ว่า กว่าพระองค์จะบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงเดี๋ยวนี้เองที่มีจริง

กว่าจะรู้แจ้งตรัสรู้ นานเท่าไหร่? เพราะฉะนั้น เราจะเผินๆ ไหม? พูดไปเหมือนจำได้เหมือนรู้แล้ว แต่ความจริงไม่รู้

อ.อรรณพ: ตรงนี้ คือไม่ประมาทในการฟังตั้งแต่ต้น เช่นแม้เราจะฟังว่า ธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแต่ละอย่าง ไม่ใช่เรา แต่ความละเอียดล่ะ!! แค่ฟังแค่นี้!! หรือคำว่า ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุปาทะ อายตนะ ๑๒ นะ และธาตุ ๑๘ อีก เขาก็ประมาทครับ

เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์ก็กล่าวว่า พระศาสนานี้ คืออะไร? ผมก็กราบเท้าต่อไปว่า ก็คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านอาจารย์ก็บอกว่า มีกี่คำ? โอโห!! มากมายหลายคำ แล้วแต่ละคำก็ประมาทไหม หรือเราพอใจที่ว่า อายตนะ คืออย่างนี้ๆ แม้กระทั่งลึกลงไปอีก เข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีสิ่งที่ยังประมาทอีก เช่น ผม และอีกหลายๆ ท่านก็ซาบซึ้งในคำที่ท่านอาจารย์ประมวลสรุปความหมายของ อายตนะว่า คือสภาพธรรมะที่กำลังประชุมในขณะที่ จิต เกิดขึ้นรู้อารมณ์ แต่ละขณะๆ เป็นคำที่ประมวลมาจากความเข้าใจความจริงทั้งหมดเลย ท่านอาจารย์ไม่ต้องพูดคำว่า เครื่องต่อ บ่อเกิด อะไรก็ได้ แต่ท่านอาจารย์ใช้คำว่า ประชุม

แต่เมื่อวันอังคารที่แล้ว ท่านอาจารย์ไม่ได้ใช้แม้แต่คำว่า ประชุม ว่าคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีอยู่ ยังไม่ดับไปนี่ครับ แล้วก็เกี่ยวข้องเป็นปัจจัยแก่ธาตุรู้

เพราะฉะนั้น ก็คือเหมือนละเอียดขึ้น ไม่ต้องไปเอาการนะ เหตุ อะไรต่ออะไร เครื่องต่อ บ่อเกิด เลือกที่จะพอใจในคำที่จะ จำ และพูดตามว่า ประชุม แต่ท่านอาจารย์ก็ถอดไปอีก แม้แต่คำว่า ประชุม นี่ครับ

เพื่อความไม่ประมาทว่า ในแต่ละคำของพระองค์ สาระ คืออย่างไรก็เห็นในประโยชน์นี้จริงๆ ท่านอาจารย์ตอบได้ตรงมาก

พระศาสนานี้ก็มาก ก็คือพระธรรม พระองค์ทรงแสดงจากพระญาณมากมายหลายคำ และแต่ละคำ เราก็ไม่ศึกษา ก็คือประมาท ถ้าศึกษาแล้วเผินๆ ก็ประมาทอีก คิดว่าเข้าใจแล้วแม้แต่คำว่า ธรรมะ คำว่า ขันธ์ ขันธ์ก็คือสิ่งที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง เกิดแล้วดับ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณครับ

ถ้ายังประมาทแม้ในขั้นการฟังอย่างนี้อยู่ ก็ไม่มีวันที่จะถึงความไม่ประมาทในขั้นสูงขึ้นไป กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ ไม่ประมาทในพระศาสนานี้ ก็ต้องอาศัยคำเตือน ที่ท่านอาจารย์กล่าวก็มีคุณค่ายิ่ง

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ

กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.อรรณพ ด้วยความเคารพค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
มังกรทอง
วันที่ 4 ก.ย. 2568

ธรรมมีมานัสพร้อม รับฟัง อันเกิดกุศลดัง ธาตุรู้ จิตเจตสิกเป็นพลัง เสริมส่ง หนุนแฮ กราบอาจารย์สุจินต์ผู้ เปี่ยมด้วยเมตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 4 ก.ย. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

จิตนี้เป็นอายตนะ แม้ด้วยอรรถว่าเป็นแดนเกิด ในประโยคว่า ก็ ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้น ย่อมเกิดในจิตนี้ ดังนี้. เป็นอายตนะ แม้ด้วย อรรถว่า เป็นที่ประชุมลง ได้ในประโยคว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ภายนอก ย่อมประชุมลงในจิตนี้ โดยความเป็นอารมณ์. ก็จิตบัณฑิตพึง ทราบว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ เพราะความที่เจตสิกธรรม ทั้งหลายมี ผัสสะ เป็นต้นเป็นเหตุ เพราะอรรถว่าเป็นปัจจัย มีสหชาตปัจจัยเป็นต้น (มหานิทเทส)

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ