จุดประสงค์ของการเจริญสติ
การเจริญสติ เพื่อปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง จึงจะละคลายอวิชชา ความไม่รู้ วิจิกิจฉา ความสงสัยในลักษณะของนามของรูป และการยึดถือนามรูปว่า เป็นตัวตนได้ ถ้าไม่รู้ชัดจริงๆ แล้ว ละไม่ได้ ขอให้พิจารณาด้วยเหตุผลว่า การที่เจาะจงเลือกแต่เฉพาะสติปัฏฐานเดียว จะไม่ทำให้ปัญญาสมบรูณ์เป็นวิปัสสนาญาณได้
เปิดฟัง ...
ข้อความในปปัญจสูทนีตอนนี้ ซึ่งเป็นอรรถกถาสติปัฏฐานสูตร ดิฉันก็ตั้งใจไว้แล้วว่า จะนำมาให้ท่านผู้ฟังได้ทราบข้อความโดยตรง เพราะบางทีท่านเองผ่านพยัญชนะข้อความนี้แล้วอาจจะเข้าใจตามพยัญชนะ ตามความคิดเห็นของท่านเองได้
ปปัญจสูทนีแปล มีข้อความว่า
สติปัฏฐานมีอย่างเดียว ด้วยอำนาจแห่งการระลึก คือ สติเป็นลักษณะสภาพธรรมที่ระลึก และด้วยอำนาจแห่งการรวมลงเป็นอันเดียวกัน
ไม่ว่าจะระลึกอย่างไรก็ตาม สติก็มีลักษณะ คือ การระลึกเท่านั้น
แต่แยกออกเป็น ๔ ด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ดังนี้ เหมือนอย่างว่า ในเมืองมี ๔ ประตู พวกพ่อค้ามาจากทิศตะวันออก ซื้อสินค้าอันมีอยู่ทางทิศตะวันออก แล้ว ก็เข้าสู่ประตูเมืองตะวันออก มาจากทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ได้สินค้าอันมีอยู่ทางทิศนั้นๆ แล้วก็เข้าไปสู่เมืองทางประตูนั้นๆ ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น
คือ นิพพานเปรียบเหมือนเมือง โลกุตตรมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนประตูเมืองใหญ่ อารมณ์ทั้ง ๔ มีกายเป็นต้น เหมือนทิศตะวันออกเป็นต้น คนทั้งหลายมาทางทิศตะวันออก ถือเอาของที่เกิดขึ้นทางทิศตะวันออกแล้ว ก็เข้าสู่เมืองทางประตูทิศตะวันออก ฉันใด เมื่อเวไนยสัตว์ทั้งหลายมาด้วยอำนาจกายา-นุปัสสนา อบรมกายานุปัสสนา อันแจกออกไปเป็น ๑๔ อย่างแล้ว ก็เข้าไปสู่นิพพานแห่งเดียวกัน ด้วยอริยมรรคอันเกิดด้วยอานุภาพแห่งการเจริญกายานุ-ปัสสนาฉันนั้น
คนทั้งหลายมาจากทิศใต้ ถือเอาของที่เกิดในทิศใต้แล้ว ก็เข้าสู่เมืองทางประตูทิศใต้ ฉันใด เวไนยสัตว์ทั้งหลายมาด้วยเวทนานุปัสสนา เจริญเวทนานุปัส-สนา อันแจกออกไปเป็น ๙ อย่าง แล้วก็เข้าไปสู่นิพพานแห่งเดียวกัน ด้วยอริยมรรคอันเกิดด้วยอานุภาพแห่งการเจริญเวทนานุปัสสนาฉันนั้น
คนทั้งหลายมาจากทิศตะวันตก ถือเอาของที่เกิดในทิศตะวันตกแล้ว ก็เข้าสู่เมืองทางประตูทิศตะวันตก ฉันใด เวไนยสัตว์มาด้วยจิตตานุปัสสนา เจริญ จิตตานุปัสสนา อันแจกออกไปเป็น ๑๖ อย่าง แล้วก็เข้าไปสู่นิพพานแห่งเดียวกัน ด้วยอริยมรรคอันเกิดด้วยอานุภาพแห่งการเจริญจิตตานุปัสสนาฉันนั้น
คนทั้งหลายมาจากทิศเหนือ ถือเอาของที่เกิดในทิศเหนือแล้ว ก็เข้าสู่เมืองทางประตูทิศเหนือ ฉันใด เวไนยสัตว์มาด้วยธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เจริญ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันแจกออกไปเป็น ๕ อย่าง แล้วก็เข้าไปสู่นิพพานแห่งเดียวกัน ด้วยอริยมรรคอันเกิดด้วยอานุภาพแห่งการเจริญธัมมานุปัสสนาสติปัฏ-ฐานฉันนั้น
ควรทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงสติปัฏฐานไว้เพียง ๔ เท่านั้น ด้วยอำนาจแห่งการระลึก และด้วยอำนาจแห่งการเข้าไปรวมในที่แห่งเดียวกัน และด้วยอำนาจแห่งการยึดหน่วงสติปัฏฐานอย่างเดียวกันอย่างนี้
เมือง ได้แก่ พระนิพพานซึ่งมีทางเข้า ๔ ทาง ๔ ประตู จะเข้าประตูทิศตะวันออก หรือทิศตะวันตก หรือทิศเหนือ หรือทิศใต้ ก็เข้าประตูเดียว ฉันใด ไม่ว่าผู้นั้นจะเจริญกายานุปัสสนาในขณะก่อนที่จะถึงนิพพาน ก่อนที่จะเข้าเมือง มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ก็ได้ จะมีเวทนาเป็นอารมณ์ เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานก็ได้ หรือจะมีจิตเป็นอารมณ์ เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานก็ได้ หรือจะมีธรรมเป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอารมณ์ก็ได้
แล้วแต่ว่าขณะนั้นอินทรีย์แก่กล้าที่มรรคจิตจะเกิด ขณะนั้นกำลังมีอะไรเป็นอารมณ์ กำลังมีกายเป็นอารมณ์ หรือว่ากำลังมีเวทนาเป็นอารมณ์ หรือว่ากำลังมีจิตเป็นอารมณ์ หรือว่ากำลังมีธรรมเป็นอารมณ์ แต่ถ้าท่านผู้ฟังจะถือตามพยัญชนะที่ฟังดูแล้วคล้ายๆ กับว่า เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างเดียวก็ได้ นั่นก็เป็นการเข้าใจของท่านผู้ฟังเอง เพราะอะไร เพราะกายานุปัสสนาเป็นการระลึกรู้รูปธรรม แต่ญาณขั้นที่ ๑ นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นการรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะน้น จะเจริญกายานุปัสสนา รู้รูปอย่างเดียวได้ไหม [ตอนที่ 138]
ข้อสำคัญ คือ ผู้เจริญสติต้องทราบจุดประสงค์ของการเจริญสตินั้นว่า เพื่อปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามและรูปตามความเป็นจริง จึงจะละคลายอวิชชา ความไม่รู้ วิจิกิจฉา ความสงสัยในลักษณะของนามของรูป และการยึดถือนามรูปว่า เป็นตัวตนได้ ถ้าไม่รู้ชัดจริงๆ แล้ว ละไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขอให้พิจารณาด้วยเหตุผลว่า การที่เจาะจงเลือกแต่เฉพาะสติปัฏฐานเดียว จะไม่ทำให้ปัญญาสมบรูณ์เป็นวิปัสสนาญาณได้ แม้แต่วิปัสสนาญาณขั้นต้น [ตอนที่ 139]
สำหรับท่านที่สงสัยข้อความใน ปปัจสูทนี ก็ควรที่จะได้อ่านให้ตลอด
ข้อความต่อไปมีว่า
คำว่า เอกายนมรรค และคำว่า สติปัฏฐาน ๔ เมื่อว่าโดยใจความก็อันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะ เพราะฉะนั้น จึงควรทราบเอกพจน์ เพราะเป็นอันเดียว ด้วยหมายความว่า เป็นทาง ควรทราบพหูพจน์ เพราะมากด้วยสติ โดยความต่างกันแห่งอารมณ์
มากด้วยสติ แสดงแล้วว่า เห็นก็จะต้องมีสติรู้ลักษณะของนามของรูป จึงชื่อว่ามีสติ กำลังได้ยินก็จะต้องมีสติระลึกรู้ลักษณะของนามของรูป มิฉะนั้นแล้วระหว่างนั้นจะเป็นหลงลืมสติหมด เพราะฉะนั้น ควรทราบพหูพจน์เพราะมากด้วยสติ โดยความต่างกันแห่งอารมณ์ ทุกอย่างต้องมีเหตุมีผล แม้แต่สภาพธรรมทุกชนิดเป็นสติปัฏฐานได้ แต่ทำไมไม่ทรงแสดงไว้มากกว่านั้น หรือน้อยกว่านั้น [ตอนที่ 139]
ข้อความใน ปปัญจสูทนี มีว่า
เพราะอะไร พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงสติปัฏฐานไว้เพียง ๔ ไม่หย่อน ไม่ยิ่ง
เพราะเพื่อประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ คือ ในพวกเวไนยสัตว์ที่เป็นตัณหาจริต ทิฏฐิจริต สมถญาณิกะ วิปัสสนาญาณิกะ ก็แตกออกเป็นอย่างละ ๒ คือ อ่อน และกล้า
สำหรับสมถภาวนานั้นก็มีจริต ๖ แต่สำหรับสติปัฏฐานหรือวิปัสสนานั้น มีจริต ๒ คือ ตัณหา และ ทิฏฐิ
ใครเป็นตัณหาจริต จะเจริญอย่างไร ใครเป็นทิฏฐิจริต จะเจริญอย่างไร คงอยากจะแยกอีกแล้วใช่ไหม ทำไมไม่คิดว่า ท่านเองตัณหาก็มาก ทิฏฐิก็มาก ทั้ง ๒ ประการ ความต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะไม่น้อยเลย ทิฏฐิ การยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนก็มากมาย ก็ควรจะทราบข้อความต่อไปที่ว่า
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างหยาบ เป็นทางบริสุทธิ์แห่งพวกตัณหาจริตอ่อน
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างละเอียด เป็นทางบริสุทธิ์แห่งผู้เป็นตัณหาจริตแรงกล้า
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันไม่ถึงความแตกยิ่ง เป็นทางบริสุทธิ์แห่งผู้เป็นทิฏฐิจริตอ่อน
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันถึงความแตกยิ่ง เป็นทางบริสุทธิ์แห่งผู้เป็นทิฏฐิกล้าแข็ง
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างหยาบ เป็นของผู้เป็นสมถญาณิกะอย่างอ่อน จะบรรลุได้โดยไม่ลำบาก เป็นทางบริสุทธิ์ของคนพวกนี้
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างละเอียด เป็นทางบริสุทธิ์ของพวก สมถญานิกะแรงกล้า เพราะไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์หยาบ
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันไม่ถึงซึ่งความแตกยิ่ง เป็นอารมณ์ เป็นทาง บริสุทธิ์แห่งผู้เป็นวิปัสสนาญาณิกะอย่างอ่อน
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันมีการถึงความแตกยิ่งเป็นอารมณ์ เป็นทาง บริสุทธิ์ของวิปัสสนาญาณิกะที่แก่กล้า
เป็นอันว่า ตรัสไว้เพียง ๔ ไม่หย่อน ไม่ยิ่ง ด้วยอาการอย่างนี้
ถ้าจะสงเคราะห์รวมทั้ง ๒ นัย
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างหยาบ เป็นทางบริสุทธิ์แห่งพวกตัณหาจริตอ่อน ซึ่งเป็นสมถญาณิกะอ่อน
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างละเอียด เป็นทางบริสุทธิ์แห่งพวกตัณหาจริตแรงกล้า เป็นสมถญาณิกะอย่างกล้า
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันไม่ถึงความแตกยิ่ง เป็นทางบริสุทธิ์ของผู้เป็นทิฏฐิจริตอ่อน ซึ่งเป็นวิปัสสนาญาณิกะอย่างอ่อน
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน อันถึงความแตกยิ่ง เป็นทางบริสุทธิ์แห่งผู้เป็นทิฏฐิกล้าแข็ง และเป็นวิปัสสนาญาณิกะแก่กล้า
ยังอยากจะแยกไหมว่า ท่านเป็นทิฏฐิจริตหรือตัณหาจริต อย่างอ่อนหรืออย่างกล้า ลำบากไหมถ้าจะเลือก ถ้าท่านเป็นผู้ที่มีตัณหามาก ทิฏฐิมาก จะไปเลือกเจาะจงว่า จะไปเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ จะเจริญเฉพาะอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ได้
อีกนัยหนึ่ง คือ
กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเจริญเพื่อละสุภวิปลาส คือ ความเห็นว่างาม
เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานเจริญเพื่อผล คือ การละสุขวิปลาส ความเห็นว่าเป็นสุข
จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเจริญเพื่อผล คือ การละความเห็นว่าเที่ยงซึ่งเป็นนิจวิปลาส
ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานเจริญเพื่อผล คือ การละความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน คือ อัตตวิปลาส
วิปลาสทั้ง ๔ คือ มีวิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ๑ ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ๑ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตนว่าเป็นตน ๑ ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม ๑
มีใครไม่มีวิปลาสทั้ง ๔ เมื่อมีวิปลาสทั้ง ๔ ก็ต้องเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง [ตอนที่ 139]



