ไม่คิดที่จะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ

อ.ธีรพันธ์: เมื่อวานก็มีการสนทนาธัมมะออนไลน์เป็นหัวข้อเรื่อง อยากรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ ก็เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยๆ สภาพธรรมะที่ปรากฏ แต่ก็จะมีคำที่กล่าวถึงว่า มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ คือหมายความว่า อยากรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ
กราบเท้าท่านอาจารย์ครับ เหมือนกับว่า ก็ไม่มีสิ่งที่ปรากฏเลย แล้วทำไมถึงอยากจะไปรู้ ที่อยากจะไปรู้ก็มีคำ มีธรรมะ มีที่กล่าวถึงบัญญัติคำ ก็เป็นเหมือนกับนำทางไปรู้ แต่ก็ยังไม่รู้ครับ แต่ต้องอาศัยคำที่จะไปรู้ แต่ก็บางทีก็รู้ไม่ได้ ยังไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ก็เหมือนกับว่าก็เป็นการที่จะศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติมได้ยินได้ฟังเพิ่มเติม นี่จะเกี่ยวอย่างไรครับที่ว่า ไปอยากรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏครับ
ท่านอาจารย์: เดี๋ยวนี้อะไรไม่ปรากฏ?
อ.ธีรพันธ์: เดี๋ยวนี้ธาตุน้ำไม่ปรากฏ ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อยากรู้เรื่องธาตุน้ำใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ครับ อยากรู้
ท่านอาจารย์: ธาตุน้ำ คืออะไร?
อ.ธีรพันธ์: ลักษณะของธาตุน้ำ คือมีลักษณะเกาะกุม ธาตุทั้ง ๔ คือเกาะกุมธาตุที่เหลือครับ คือธาตุดิน ไฟ ลม
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ธาตุน้ำปรากฏหรือเปล่า?
อ.ธีรพันธ์: เดี๋ยวนี้ธาตุน้ำไม่ปรากฏครับ
ท่านอาจารย์: แล้วอะไรปรากฏ?
อ.ธีรพันธ์: มีสิ่งที่ปรากฏทางตาครับ
ท่านอาจารย์: และก็ไม่อยากจะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่อยากรู้ธาตุน้ำ ใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วจะรู้อะไรได้?
อ.ธีรพันธ์: ก็สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่รู้ครับ จึงไปหาธาตุน้ำ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น อะไรปรากฏ?
อ.ธีรพันธ์: สิ่งที่ปรากฏทางตาครับ
ท่านอาจารย์: ไม่ต้องการรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่จะไปรู้ธาตุน้ำใช่ไหม?
อ.ธีรพันธ์: ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วมีโอกาสจะรู้ไหม ธาตุน้ำ ในเมื่อมีสิ่งที่ปรากฏทางตาแล้วไม่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา?
อ.ธีรพันธ์: ไม่มีโอกาสรู้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น เสียเวลาไหม?
อ.ธีรพันธ์: เสียเวลาครับ
ท่านอาจารย์: อยู่กับ เสียเวลาตลอดทุกขณะ
อ.ธีรพันธ์: เสียเวลา แต่ก็ไม่ใช่บอกว่ามีสิ่งที่ปรากฏ ทำไมถึงไปเสียเวลากับสิ่งที่ไม่ปรากฏ แม้แต่สิ่งปรากฏก็ยากที่จะรู้ครับ
ท่านอาจารย์: แล้วเมื่อไหร่จะรู้สิ่งที่ปรากฏสักที ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะมัวไปคิดถึงธาตุน้ำ อยากรู้ธาตุน้ำซึ่งไม่มีทางจะรู้ได้ เพราะไม่ปรากฏ
ต่อเมื่อไหร่อะไรปรากฏ สิ่งนั้นเท่านั้นที่สามารถจะรู้ได้ เพราะกำลังปรากฏให้รู้
อ.ธีรพันธ์: ก็ค่อยๆ เข้าใจ คำ ที่ท่านอาจารย์กล่าว ตรงที่ว่า ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏทันที ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายความว่ามีของจริงอยู่แล้วครับโดยที่ไม่มีชื่อเลย แต่ว่าจะไปหาสิ่งที่แม้การศึกษามีจริง แต่ไม่มีลักษณะที่จะให้รู้ว่าปรากฏเลย ตรงนี้ก็แสดงถึงความโง่อย่างมากครับยังไม่รู้อะไร
ก็ยากครับท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏยังยากที่จะรู้เลย เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว สิ่งที่ปรากฏมีขณะนี้แต่ก็มีความเป็นเราที่พยายามจะไปจดจ้องต้องการที่จะรู้ครับ
ท่านอาจารย์: เพราะฉะนั้น จะมีขณะที่จะรู้ได้ไหม มัวแต่เป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ?
อ.ธีรพันธ์: มีครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อไหร่?
อ.ธีรพันธ์: เมื่อฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ
ท่านอาจารย์: เมื่อไม่คิดที่จะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ
อ.ธีรพัน ธ์: แต่ก็เป็นการศึกษาเพิ่มเติมไม่ใช่หรือครับ ที่ว่ามาประกอบกันจะได้รู้ความละเอียดของธรรมะ
ท่านอา จารย์: ศึกษาอะไรเพิ่มเติม?
อ.ธีรพัน ธ์: ศึกษา อย่างเช่นก็ได้รู้ความเป็นไปของธรรมะ จริงๆ ไม่รู้ครับแต่ว่าจะได้รู้ว่า ธาตุน้ำไม่ได้เกิดเองลอยๆ ก็ต้องอาศัยธาตุที่เหลือเกิดขึ้น
ท่านอา จารย์: แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้น?
อ.ธีรพัน ธ์: ตราบใดที่ไปหาก็ยังไม่รู้ครับเพราะว่าไปหาชื่อ ก็ลึกซึ้งครับท่านอาจารย์ครับ แม้สิ่งที่มีอยู่ต่อหน้าต่อตาครับ ยังไม่รู้เลย
นี่ครับ จึงไปหาสิ่งที่ไม่ปรากฏ ก็จะเป็นอย่างนี้เพราะว่า ธรรมะ พระธรรมลึกซึ้ง
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ
กราบยินดีในกุศลจิตของ อ.ธีรพันธ์ ด้วยความเคารพค่ะ


