ขอสอบถามความแตกต่างของ อาสยะ (ในอาสยานุสัย) กับวาสนาครับ

 
stfurol
วันที่  22 ก.ค. 2568
หมายเลข  50454
อ่าน  105

เข้าใจในเบื้องต้นว่า อาสยะ การสะสมทั้งกุศล และอกุศล

ส่วน วาสนา ก็มีความหมายหนึ่งว่า การสะสมกุศล และอกุศล (เอามาจาก พื้นฐานพระอภิธรรม ตอน บุญ วาสนา บารมี)

จึงเกิดความสงสัยในความแตกต่างของ 2 คำนี้ครับ

ขอบพระคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.ค. 2568

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

วาสนา เป็นความประพฤติทั้งทางที่ดีและไม่ดีสะสมอบรมมาแต่ชาติก่อนๆ
หมายถึง การสะสมอุปนิสัยซึ่งเป็นความเคยชินที่ได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จนไม่สามารถที่จะละได้ เช่น บางคนเป็นผู้ที่ทำอะไรเร็ว เดินเร็ว พูดเร็ว ทานอาหารเร็ว หรือบางท่านมีกิริยาอาการที่ไม่น่าเลื่อมใส ในพระไตรปิฎกมีตัวอย่างแสดงว่า

วัสสการพราหมณ์ซึ่งเป็นมหาอำมาตย์แห่งเมืองราชคฤห์ เห็นท่านพระมหากัจจายนเถระซึ่งเป็นพระอรหันต์เดินลงมาจากภูเขา ก็ได้กล่าวว่าท่านผู้นี้มีกิริยาอาการคล้ายลิง เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบจึงให้ขอขมาโทษต่อท่านพระมหากัจจายนเถระ ไม่เช่นนั้นเมื่อวัสสการพราหมณ์สิ้นชีวิตแล้ว จะไปเกิดเป็นลิงในป่าไผ่ แต่ด้วยมานะกิเลสของวัสสการพราหมณ์ จึงไม่ยอมขอขมาโทษและยังให้บริวารไปปลูกไม้ผลต่างๆ เพื่อที่เมื่อตนตายไปเกิดเป็นลิงแล้วจะได้มีผลไม้กิน

ในที่สุดวัสสการพราหมณ์ก็ได้สิ้นชีวิตแล้วไปเกิดเป็นลิงจริงๆ การสะสมอุปนิสัยของท่านพระมหากัจจายนเถระ ทำให้มีอาการบางอย่างที่ไม่น่าเลื่อมใสต่อผู้ที่พบเห็น ซึ่งอาการเหล่านี้เรียกว่า วาสนา แม้เป็นพระอรหันต์หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ละไม่ได้ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สะสมอบรมปัญญาบารมีมาเพื่อเกื้อกูลสัตว์โลก จึงต้องสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง แม้พระรูปกายและกิริยาอาการก็ต้องเป็นที่น่าเลื่อมใส พระองค์จึงทรงละกิเลสได้พร้อมทั้ง วาสนา ซึ่งเป็นอาการกิริยาที่ไม่ดี

ตัวอย่างวาสนา แม้พระอรหันต์ยังไม่ได้ ตามข้อความใน [เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม 1 ภาค 1 - หน้าที่ 428

"ในอดีตกาล บุตรของเรานี้ บังเกิดในครอบครัวแห่งพราหมณ์ผู้มักกล่าวว่า ถ่อย ถึง ๕๐๐ ชาติ ดังนั้น บุตรของเรานี้ จึงกล่าว เพราะความเคยชิน มิได้กล่าวด้วยเจตนาหยาบ จริงอยู่โวหาร (คำพูด) แห่งพระอริยะทั้งหลาย แม้จะหยาบอยู่บ้าง ก็ชื่อว่า บริสุทธิ์แท้ เพราะเจตนาไม่หยาบ ไม่เป็นบาป แม้มีประมาณเล็กน้อยในเพราะการกล่าวนี้"


พระปิลินทวัจฉะ ท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ท่านย่อมไม่มีเจตนาที่เป็นอกุศล ที่จะด่าว่าใคร แต่ที่มีคำพูดอย่างนั้น ก็เพราะความเคยชิน เพราะสะสมการพูดอย่างนั้นๆ มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ดังนั้น แม้ท่านพระปิลินทวัจฉะ จะมีความประพฤติเป็นไปอย่างนั้น มีคำพูดว่าคนถ่อยๆ ท่าน ไม่ได้กล่าวด้วยเจตนาหยาบเลย ครับ


สำหรับ อาสยะ การสะสมซึ่งแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายกุศล หรือ ฝ่ายอกุศลใด กุศลหรืออกุศลที่เกิดแล้ว ดับไป ไม่สามารถจะออกไปจากจิต ก็เก็บสะสมสืบต่อในจิตขณะต่อๆ ไป จึงทำให้แต่ละคนมีอัธยาศัยที่แตกต่างกันออกไป ครับ

... ยินดีในกุศลของคุณ stfurol และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
stfurol
วันที่ 25 ก.ค. 2568

กราบขอบพระคุณครับอาจารย์

กราบอนุโมทนาครับ

ตอนนี้เข้าใจว่า วาสนา สะสมตั้งแต่ชาติก่อนๆ ทำให้ประพฤติเป็นไปตามที่เคยเป็น

แต่อาสยะ เป็นการสะสมสืบเนื่องมาถึง ณ ขณะนี้ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 25 ก.ย. 2568

วาสนาไม่ดี แต่ไม่ใช่อกุศลจิต ไม่ใช่อกุศลเจตสิก สำหรับพระอรหันต์ดับอกุศลธรรมทั้งหมด แต่ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดับวาสนาไม่ได้ คือ ยังมีความประพฤติทางกายทางวาจาที่ดูไม่งาม อย่างการเดินเร็วๆ เหมือนวิ่ง ใครเห็นจะว่าอย่างไร หรือว่าใครชอบ แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่มีอกุศลจิต มีแต่การกระทำที่สะสมมาจนชิน ทางกาย ทางวาจาที่ไม่งาม นั่นคือความหมายของวาสนา

เปิดฟัง ...

วาสนาเป็นกิเลสหรือเปล่า

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ