ไม่ขวนขวายไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ
ขณะใดที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม สติจะระลึกรู้ลักษณะของนามทีละ ๑ นาม รูปทีละ ๑ รูป หรือว่าทีละลักษณะ จึงจะชื่อว่าสติเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของนามหรือลักษณะของรูป ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และในการบรรยายตลอดมา ไม่เคยให้ท่านผู้ฟังรู้รูปที่ไม่สามารถจะรู้ได้
รับฟัง ...
ใน ๒๘ รูป รูปใดปรากฏ ถ้าสติไม่ระลึกรู้ในขณะนั้น เป็นความไม่รู้ เป็นอวิชชา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องขวนขวายไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ ไปรู้รูปที่ไม่ปรากฏ ที่ไม่มีลักษณะปรากฏ หรือว่าจะไปรู้นามที่ไม่ปรากฏ ไม่มีลักษณะปรากฏ และไม่เคยบรรยายว่าให้ไปรู้ทั้งหมด คือ ให้รู้รูปทั้ง ๒๘ รูป ให้รู้นามทั้ง ๑๒๑ ดวง หรือ ๘๙ ดวง
ถ้าท่านผู้ฟังจะฟังทบทวนอีก ท่านก็จะทราบว่า สติระลึกรู้ลักษณะของนามที่ปรากฏ ลักษณะของรูปที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่มีนามปรากฏ มีรูปปรากฏ แต่ไม่รู้ จะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ [ตอนที่ 196]
อย่างทางตา ท่านที่ศึกษาปรมัตถธรรมก็ทราบว่า ที่ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นเพราะรูปารมณ์ คือ สีกระทบจักขุปสาทเป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้น รำพึงถึงอารมณ์ที่กระทบนั้น ซึ่งจิตในขณะนั้น คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต เกิดขึ้นแล้วดับไป ต่อจากนั้น ถ้าเป็นอารมณ์ทางตา ก็เป็นปัจจัยให้จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เมื่อจักขุวิญญาณดับไปแล้ว สัมปฏิจฉันนจิตเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์นั้นต่อจากจักขุวิญญาณ เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตเกิดและดับไปแล้ว เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นพิจารณาสภาพของรูปที่ปรากฏในขณะนั้น ชื่อว่า ทำกิจสันตีรณะ ซึ่งจิตนั้นคือสันตีรณจิต เมื่อดับไป มีจิตที่มนสิการ คือ ทำกิจโวฏฐัพพนะ ได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป กุศลจิตหรืออกุศลจิตจึงเกิดต่อ
แต่ในการบรรยาย ไม่เคยบรรยายให้ท่านผู้ฟังไปรู้ปัญจทวาราวัชชนจิต ไปรู้สัมปฏิจฉันนจิต สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิตอะไรเลย เพียงแต่ว่าทางตาเห็นมี แต่ไม่เคยระลึกรู้ว่าที่เห็นเป็นสภาพรู้ ไม่ใช่รูปธรรม ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า จะสูง จะต่ำ จะดำ จะขาว จะเป็นอย่างไร รูปไม่ใช่สภาพรู้ แต่ที่ว่ารู้ขณะที่กำลังเห็น รู้ว่าเป็นอะไร ก็เป็นนามธรรม สภาพที่เห็นก็เป็นนามธรรม ชอบใจหรือไม่ชอบใจเกิดจากการเห็น สภาพที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้นก็เป็นนามธรรม เมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้มีปรากฏให้รู้ได้ สติก็ระลึกรู้ในสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนของนามธรรมของรูปธรรมที่กำลังปรากฏ
ถ้าท่านจะฟังการบรรยาย และประมวลสิ่งที่ท่านได้ฟัง ท่านก็จะได้ฟังข้อความที่ว่า ไม่ควรเป็นผู้หลงลืมสติ และสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญญา ความเห็นถูกตามความเป็นจริงนั้น ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าสภาพของสิ่งที่กำลังปรากฏนั้นเป็นอนัตตาจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนตตา ไม่ใช่ว่าให้ท่านไปรู้รูปที่ไม่ปรากฏ ไปรู้นามที่ไม่ปรากฏ
ถ้าฟังโดยตลอดก็จะทราบว่า ไม่มีข้อความว่าให้ไปรู้สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะอะไร แต่ว่าที่ทรงแสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎกนั้น ก็เพื่อที่จะให้ท่านที่ได้ศึกษา มนสิการสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อละคลายการที่จะยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตน เพราะเหตุว่าอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แม้ว่าจะเกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว สิ่งใดปรากฏ สติก็จะค่อยๆ ระลึกรู้ลักษณะสภาพของสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริง ส่วนที่ท่านผู้ใดจะรู้ความละเอียด ประณีตของนามธรรม รูปธรรม ได้มากน้อยต่างกันเท่าไรนั้น ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่าทุกท่านจะต้องมีปัญญาอย่างท่านพระสารีบุตร แต่ว่าถึงแม้จะไม่ใช่ท่านพระสารีบุตร ผู้ที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็จะต้องรู้ลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ชัดเจนถูกต้อง จึงจะละคลายการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้ [ตอนที่ 197]



