พระราชาองค์หนึ่งบรรทมหลับอยู่บนแท่นบรรทม
คัดจาก
คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ท่านอาจารย์ได้อ้างอิงข้อความในอัฏฐสาลินี อรรถกถาพระอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณีปกรณ์ ดังนี้
ในอัฏฐสาลินีอรรถกถาธรรมสังคณีปกรณ์ อุปมาการเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวารว่า ...
พระราชาองค์หนึ่งบรรทมหลับอยู่บนแท่นบรรทม มหาดเล็กคนหนึ่งถวายนวดพระยุคลบาทอยู่ นายทวารหูหนวกยืนอยู่ที่พระทวาร ทหารยาม ๓ คนยืนเรียงลำดับอยู่ ทีนั้นยังมีคนบ้านนอกคนหนึ่ง ถือเครื่องราชบรรณาการมาเคาะประตูเรียก นายทวารหูหนวกไม่ได้ยินเสียง มหาดเล็กผู้ถวายนวดพระยุคลบาทจึงให้สัญญาณ นายทวารหูหนวกจึงเปิดประตูดูด้วยสัญญาณนั้นทหารยามคนที่หนึ่งรับเครื่องราชบรรณาการส่งให้คนที่สอง คนที่สองส่งให้คนที่สาม คนที่สามทูลเกล้าฯ ถวายพระราชา พระราชาเสวย
คำอุปมาเปรียบเทียบแสดงให้เห็น วิถีจิต ที่เกิดขึ้น รับรู้อารมณ์แต่ละขณะว่า ขณะที่ อารมณ์กระทบกับจักขุปสาท เปรียบเหมือนคนบ้านนอกที่ถือเครื่องบรรณาการมาเคาะที่พระทวาร มหาดเล็กที่ถวายงานนวดพระยุคลบาทของพระราชาคือ ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นขณะที่รู้ว่ามีแขกมาเคาะที่ทวาร จึงให้สัญญาณคือรู้อารมณ์ที่กระทบ แล้วก็ดับไป จักขุวิญญาณจิต ก็เกิดขึ้นสืบต่อทำกิจเห็นที่จักขุปสาท แล้วต่อจากนั้นทหารยามคนที่หนึ่งคือ สัมปฏิจฉันนจิต ก็รับเครื่องราชบรรณาการส่งให้คนที่สองคือ สันตีรณจิต คนที่สองส่งให้คนที่สามคือ โวฏฐัพพนจิต คนที่สามทูลเกล้าฯ ถวายพระราชาคือ ชวนจิต พระราชาได้เสวยเครื่องราชบรรณาการคือ อารมณ์ นั้น
ถ้าเช่นนั้น คัดจาก
อรรถกถา สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สฬายตนสังยุตต์ อาสีวิสวรรคที่ ๔๗. ทุกขธรรมสูตร อรรถกถาทุกขธัมมสูตรที่ ๗ บทว่า ทนฺโธ ภิกฺขเว สตุปฺปาโท ความว่า การเกิดขึ้นแห่งสตินั่นแลช้า แต่เมื่อสตินั้นพอเกิดขึ้นแล้ว ชวนจิตก็จะแล่นไป กิเลสทั้งหลายก็จะถูกข่มไว้ ไม่สามารถดำรงอยู่ได้.
อธิบายว่า ในจักษุทวาร เมื่อกิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเกิดขึ้นแล้ว เพราะทราบโดยวาระแห่งชวนจิตที่สองว่า กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ชวนจิตสหรคตด้วยสังวรก็จะแล่นไปในวาระแห่งชวนจิตที่สาม ก็ข้อที่ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา พึงข่มกิเลสทั้งหลายได้ในวาระแห่งชวนจิตที่สามไม่ใช่เรื่องน่าอัศจรรย์เลย.
อนึ่งในจักษุทวาร เมื่ออิฏฐารมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา) มาสู่ครอง ภวังคจิตก็จะระลึก ครั้นเมื่ออาวัชชนจิตเป็นต้นเกิดขึ้น ก็จะห้ามวาระแห่งชวนจิตที่มีกิเลสคละเคล้าเสีย ต่อจากโวฏฐัพพนจิตแล้วให้วาระแห่งชวนจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นแทนทันที. ก็นี้เป็นอานิสงส์ของการที่ภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา ดำรงมั่นอยู่ในการพิจารณาภาวนา
ทหารที่ ๒ คือสตินั้นพอเกิดขึ้นแล้วทหารที่๓ คือชวนจิตที่สองว่า กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นทหารที่ ๔ คือชวนจิตสหรคตด้วยสังวรก็จะแล่นไปในวาระแห่งชวนจิตที่สาม ตรวจสอบอาหารและของขวัญแล้วมหาดเล็กนวด ส่งอาหารและของขวัญให้พระราชาอย่างนื้ใช่ไหมอาจารย์?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เพราะมีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาอยู่บ่อยๆ เนืองๆ แทนที่จะเป็นอกุศล กุศลก็เกิดแทนทันที เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าเกิดกุศลจิต ก็ย่อมเป็นกุศลจิต ๗ ขณะเลย (ชวนจิต ๗ ขณะ) จะไม่มีกิเลสหรืออกุศลเกิดแทรกสลับใน ๗ ขณะนี้ได้เลย และทุกขณะที่จิตเป็นกุศล จะไม่ปราศจากสติเลย ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ reacher และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...


